ถ้าเราพิจารณาถึงการตีความและทรรศนะเกี่ยวกับโลกทั้งสองอย่างนี้
อย่างหนึ่ง คือ ทรรศนะของผู้ที่มองโลกและความเพลิดเพลินเจริญใจของมันว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายเลวทราม อีกทรรศนะหนึ่ง คือ ผู้ที่ถือว่าตัวของโลกเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ความยั่วยวนของมันและความหลงใหลไปในโลกนั้นเป็นสิ่งเลวทราม ขอให้เรามาพิจารณากันว่า โลกให้ความสุขต่อมนุษย์และปลดปล่อยเขาจากความทุกข์ยากโดยวิธีใด
บรรดาผู้มีทรรศนะในทางลบเกี่ยวกับโลกและความเป็นอยู่ทั้งหลาย ต่างถือว่า ความมีอยู่และชีวิตเป็นเรื่องร้ายกาจเลวทรามไม่มีทางแก้ไขใดๆ นอกจาก ยอมรับความผิดหวังไร้ที่หมายและฆ่าตัวตาย นี่เป็นทรรศนะที่อ่อนแอที่สุดและคนที่มีความทุกข์มากที่สุดในโลก คือ ผู้ที่มีทรรศนะเช่นนี้
อีกทางหนึ่งผู้มองโลกว่า เป็นของดี แต่มีทรรศนะว่าความยั่วยวนใจและความหลงใหลที่มีต่อมันเป็นเรื่องเลวร้ายนั้นกล่าวว่า การสร้างและการเผา การก่อสร้างและทาลายเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกันและหนทางไปสู่ความสุขและอิสรภาพของมนุษย์นั้นอยู่ที่การต่อสู้กับความปรารถนาและความรักของเขา และการตัดรากเหง้าของมันออกเสียจากตัวตนของเขา จากทรรศนะนี้มนุษย์ก็จะเป็นอิสระจากความเลวทรามร้ายกาจทั้งปวง กลายเป็นผู้ที่มีความสุขอยู่ในทรวงอก
ทรรศนะแรก ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบใด ๆ แต่คำตอบต่อทรรศนะที่สองก็คือ
ประการแรก
ทฤษฎีทางปรัชญาที่ลึกซึ้งล่าสุดได้รับการยืนยันโดยจิตวิทยาว่า สัญชาติญาณตามธรรมชาติและความรักที่มีอยู่ในจิตใจมนุษย์นั้น ไม่อาจจะระงับหรือขจัดตัดรอนให้หมดไปได้ เท่าที่จะทำได้มากที่สุด ก็คือโดยอาศัยการบำเพ็ญทุกขกริยา คนที่บำเพ็ญทุกขกริยาจะถูกนำไปสู่ความสำนึกภายใน แต่จะปรากฎตัวออกมาในรูปแบบที่มีอันตรายโดยผ่านช่องทางที่ผิดธรรมชาติ ก่อให้เกิดผลข้างเคียง คือ การทำงานอย่างผิดพลาดของระบบประสาทและจิตวิญญาณ
ประการที่สอง
หากว่าสามารถจะตัดขาดสิ่งนั้นได้ก็จะเป็นอันตรายร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับการตัดแขนขาหรืออวัยวะที่สำคัญออกไป
สัญชาติญาณตามธรรมชาติของมนุษย์แต่ละอย่างและทุกอย่างนั้นเป็นพลังที่ได้ถูกบรรจุไว้ในตัวเรา เพื่อจะได้กระตุ้นให้มีการกระทำและการเคลื่อนไหว ในการสร้างมันขึ้นมานั้นไม่ใช่เรื่อง เล่นๆ หรือไร้ประโยชน์ แล้วเพราะเหตุใดเล่าแหล่งกำเนิดของพลังเหล่านี้ จึงควรจะถูกละเลย หรือถูกทาลายให้พินาศไป ?
เขียนโดย ชะฮีดมุเฏาะฮะรี
แปล จรัญ มะลูลีม