โองการอัลกุรอานที่กล่าวถึงอิมามัต ตอนที่ 2
  • ชื่อ: โองการอัลกุรอานที่กล่าวถึงอิมามัต ตอนที่ 2
  • นักเขียน: อิสลามิคซอร์ซ
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 5:26:36 15-9-1403

โองการอัลกุรอานที่กล่าวถึงอิมามัต ตอนที่ 2


เรื่องราวเกี่ยวกับเฆาะดีร


ดังที่กล่าวไปแล้วว่า โองการข้างต้นได้ถูกประทานให้กับท่านอิมามอะลี (อ.) ซึ่งริวายะฮฺจำนวนมากมายได้กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ดังมีบันทึกอยู่ในตำราของชีอะฮ์และซุนนี จนอยากที่จะปฏิเสธความจริงเหล่านี้ได้ นอกเสียจากอคติหรือทิฐิที่ฝังแน่นอยู่ในใจเท่านั้น และนอกจากริวายะฮ์ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีริวายะฮ์อีกจำนวนมากมาย กล่าวถึงเหตุการณ์ของเฆาะดีรเอาไว้ เช่น กล่าวว่า โองการดังกล่าว (๕/๖๗) ถูกประทานลงมาหลังจากเหตุการณ์เฆาะดีร หลังจากคำเทศนาของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และหลังจากที่ท่านได้แนะนำท่านอะลีเป็นอิมาม เป็นวะซีย์ และเป็นตัวแทนของท่านแก่ประชาชาติ ซึ่งจำนวนริวายะฮ์เหล่านี้มีมากกว่าริวายะฮ์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น จนกระทั่้งว่า ท่านอัลลามะฮ์ อามีนี ได้รวบรวมไว้ในหนังสือ อัลเฆาะดีรของท่าน โดยรายงานมาจากศอฮาบะฮ์ถึง ๑๑๐ ท่าน พร้อมกับหลักฐานและกระแสรายงาน รายงานจากบรรดาตาบิอีนอีก ๘๔ ท่าน และจากบรรดานักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงของอิสลามอีก ๓๖๐ ท่าน

 

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาที่ริวายะฮ์เหล่านั้นอย่างละเอียดสามารถเชื่อได้อย่างมั่นใจว่า ฮะดีษเฆาะดีร เป็นฮะดีษที่เชื่อถือได้อย่างไม่มีข้อสงสัย และเป็นฮะดีษที่มั่นคงที่สุด
สำหรับบุคคลที่ต้องการหลักฐานเพิ่มเติมสามารถค้นคว้าได้จากตำราดังต่อไปนี้

 

๑. หนังสือนะฟีซุล เฆาะดีร เล่ม ๑
๒. อิฮ์กอกุลฮัก เขียนโดยอัลลามะฮ์ กอฏี ชูชตะรี อธิบายโดย อายะตุลลอฮ์ นะญะฟี มัรอะชี เล่ม ๓ , ๓, ๑๔ และ ๒๐

๓. อัลมะรอญิอาต มัรฮูมชะรัฟฟุดดีน อามีลี
๔. อับกอตุลอันวาร เขียนโดย มีร ฮามิด ฮุซัยนี ฮินดี (ดีกว่าให้ค้นคว้าจากหนังสือสรุปอัล อับกอต เล่ม ๗, ๘,๙)
๕. ดะลาอิลุซซิดกฺ เขียนโดยมัรฮูม มุซัฟฟัร เล่ม ๒

 

มาตรฐานของริวายะฮ์เฆาะดีร

 

ช่วงบั้นปลายสุดท้ายแห่งชีวิตอันจำเริญของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) และหลังจากการบำเพ็ญฮัจญ์ครั้งสุดท้ายสำหรับท่าน (ฮัจญะตุลวะดา) ซึ่งเวลานั้นหัวใจทุกดวงยังอิ่มเอิบกับผลบุญที่ได้รับจากการบำเพ็ญฮัจญ์ จำนวนศอฮาบะฮ์ของท่านศาสดามีมากเกินกว่า ๑๒๐, ๐๐๐ คน    

 

พิธีกรรมดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะมุสลิมชาวมะดีนะฮ์เพียงอย่างเดียว แต่มีมุสลิมจากทั่วทุกสารทิศเข้าร่วมในพิธีกรรมดังกล่าว แม้ว่าแสงแดดจะร้อนระอุสักปานใดก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับความหวานชื่นของพิธีกรรมแล้วไม่อาจเปรียบเทียบกันได้ ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูง่ายดายไปทั้งหมด

 

เมื่อกองคาราวานได้เดินทางมาถึงทางแยกซึ่งแยกหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่มะดีนะฮ์ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ แยกหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่อิรักซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก แยกหนึ่งมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกและอียิปต์ ส่วนอีกแยกหนึ่งมุ่งหน้าไปสู่เยเมนซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ทุกคนที่เดินทางมาต่างอิ่มเอิบกับผลบุญในการประกอบฮัจญ์ครั้งนี้ และทุกคนต่างรอคำสั่งสุดท้ายจากท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ว่า ท่านจะสั่งเสียสิ่งใดอีก

 

วันพฤหัสบดี ปี ฮ.ศ. ที่ ๑๐ แปดวันหลังอีดกุรบาน ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้สั่งให้กองคาราวานทั้งหมดหยุดลงโดยกระทันหันพวกที่ล่วงหน้าไปแล้วท่านได้สั่งให้กลับมา และสั่งให้รอพวกที่ยังเดินทางมาไม่ถึง ตะวันได้คล้อยผ่านไปบ่งบอกว่าถึงเวลาซุฮ์ริแล้ว เสียงอะซาน อัลลอฮุอักบัร จากผู้อะซานบอกเวลานมาซได้ดังขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนไปสู่นมาซซุฮ์ริ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนแดดแผดเผา กลางทะเลทรายที่ไม่มีพื้นสีเขียว ไม่มีต้นไม้ และไม่มีร่มเงาบังแดด บางคนต้องเอาอะบาบางส่วนรองไว้ใต้ฝ่าเท้า และเอาอีกด้านหนึ่งปิดศีรษะเพื่อกันความร้อนทุกคนได้ต่อสู้กับความร้อนด้วยความยากลำบาก

 

หลังนมาซซุฮฺริ

 

มุสลิมบางกลุ่มกำลังจะเข้าไปหลบแดดใต้เต็นท์ที่ตนได้พามา แต่ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ประกาศให้ทุกคนเตรียมตัวรอรับฟังข่าวที่ยิ่งใหญ่จากพระผู้อภิบาล เนื่องจากประชาชนหนาแน่นบางกลุ่มมองไม่เห็นท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) จึงได้สร้างมิมบัรขึ้นโดยใช้อานม้าและอูฐเรียงทับกัน หลังจากนั้นได้เชิญท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ขึ้นไปบนนั้น เมื่อกล่าวสรรเสริญและขอบคุณพระผู้อภิบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านได้กล่าวกับประชาชนโดยตรงว่า  

       

ฉันได้ตอบรับคำเชิญของพระผู้อภิบาลเรียบร้อยแล้ว และในไม่ช้านี้ฉันคงต้องจากพวกท่านไปอย่างถาวร  ฉันและพวกท่านทั้งหลายต่างมีหน้าที่รับผิดชอบด้วยกันทั้งสิ้น พวกท่านปฏิญาณยืนยันเกี่ยวกับตัวฉันว่าอย่างไร

 

ประชาชนทั้งหมดได้ตะโกนด้วยเสียงดังว่า พวกเราขอยืนยันว่าท่านได้ทำหน้าที่ประกาศสารของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทำการอบรมและปรับปรุงสังคมแล้ว และสุดท้ายท่านได้ทำการชี้นำพวกเราเข้าสู่หนทางที่เที่ยงธรรม ขอพระองค์โปรดประทานรางวัลที่ดีงามแก่ท่าน

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า พวกท่านยืนยันไหมว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์   มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสดาของพระองค์ วันแห่งการฟื้นคืนชีพเพื่อการสอบสวนสวรรค์และนรกนั้นมีจริง

 

ทั้งหมดกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า แน่นอน พวกเราขอยืนยันเช่นนั้น ท่านกล่าวว่า ขอให้อัลลอฮ์(ซบ.) ทรงเป็นพยานต่อคำยืนยัน

 

ท่านกล่าวต่อว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย พวกท่านได้ยินเสียงฉันไหม พวกเขาตอบว่า พวกเราได้ยิน หลังจากนั้นทุกคนได้นิ่งเงียบไม่มีเสียงอันใดนอกจากเสียงกระแสลมร้อนที่กรรโชกเข้ามา

 

หลังจากนั้นท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า ฉันขอฝากสิ่งหนักสำคัญสองสิ่งที่มีค่ายิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน พวกท่านลองพิจารณาดูซิว่า พวกท่านจะทำอย่างไรกับของสองสิ่งนี้ภายหลังจากฉัน

 

ทันใดนั้นมีคนหนึ่งยืนขึ้นและ ตะโกนขึ้นว่าสิ่งสำคัญสองสิ่งนั้นคืออะไร

 

ท่านตอบว่า สิ่งแรกเป็นสิ่งหนักที่ยิ่งใหญ่อันได้แก่ คัมภีร์แห่งอัลลอฮฺ ซึ่งด้านหนึ่งของคัมภีร์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ส่วนอีกด้านหนึ่งอยู่ในมือของพวกท่าน และพวกท่านจงยึดสิ่งนี้ไว้ให้มั่นเพื่อจะได้ไม่หลงทาง ส่วนสิ่งหนักอีกประการหนึ่งที่ฉันขอฝากไว้ให้หมู่พวกท่านได้แก่ ลูกหลานที่ใกล้ชิดของฉัน อัลลอฮ์ (ซบ.) ผู้ทรงเมตตาได้ส่งข่าวให้ฉันทราบว่า สิ่งหนักสองสิ่งนี้จะไม่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะย้อนคืนสู่ฉัน ณ สระน้ำแห่งสรวงสวรรค์ พวกท่านทั้งหลายจงอย่าล้ำหน้าทั้งสองเพราะจะเป็นสาเหตุให้พวกท่านพบกับความหายนะ และพวกท่านจงอย่าล้าหลังจากทั้งสองเพราะจะเป็นสาเหตุให้พวกท่านพบกับความหายนะเช่นกัน

 

ประชาชนเห็นว่าท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้หันมองรอบๆ เหมือนกับว่าท่านกำลังมองหาใครบางคน และแล้วสายตาของท่านก็จับจ้องไปที่ท่านอะลี ท่านได้ก้มไปจับมือของท่านอะลีชูขึ้นจนเห็นรอยขาวนวลใต้รักแร้ของทั้งสอง ซึ่งประชาชนทั้งหมดเห็นและจำได้ว่า บุคคลนั้นคือราชสีห์ที่ไม่เคยพ่ายแพ้แห่งอิสลาม ตรงนี้เสียงของท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ดังขึ้นกว่าเดิม ท่านกล่าวว่า

 

ايها الناس من اولى الناس بالمؤمنين من انفسهم

 

โอ้ประชาชนทั้งหลาย ใครคือผู้ที่มีความประเสริฐกว่าชีวิตของผู้ศรัทธาทั้งหลาย

 

ทั้งหมดกล่าวว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) และเราะซูลเท่านั้นที่รู้ดี

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า อัลลอฮฺ (ซบ.) เป็นผู้คุ้มครองและเป็นนายของฉัน ส่วนฉันคือ ผู้ปกครองมวลผู้ศรัทธาทั้งหลาย และฉันมีความประเสริฐกว่าชีวิตของพวกเขา (หมายถึงความต้องการของศาสดาย่อมมาก่อนความต้องการของพวกเขา)

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า

 

فمن كنت مولاه فعلى مولاه

 

ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) ได้ตอกย้ำประโยคนี้ถึง ๓ ครั้งด้วยกัน บางริวายะฮ์กล่าวว่าท่านได้เน้นย้ำถึง ๔ ครั้ง และมากกว่านั้น

 

หลังจากนั้นท่านได้แหงนหน้ามองท้องฟ้าและกล่าวว่า

 

اللهم و ال من والاه و عاد من عاداه واحب من احبه و ابغض من ابغضه و انصر من نصره و اخذل من خذله و ادر الحق معه حيث دار

 

โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดเป็นมิตรกับบุคคลที่เป็นมิตรกับเขา โปรดเป็นศัตรูกับบุคคลที่เป็นศัตรูกับเขา โปรดรักบุคคลที่รักเขา โปรดเกลียดชังบุคคลที่เกลียดชังเขา โปรดช่วยเหลือบุคคลที่ช่วยเหลือเขา โปรดทอดทิ้งบุคคลที่ทอดทิ้งเขา โปรดให้สัจธรรมอยู่กับเขาตราบที่เขามียังมีชีวิต และโปรดอย่าแยกเขาออกสัจธรรม

 

หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า พวกท่านจงจำไว้ให้ดีว่าเป็นหน้าที่ของผู้ที่อยู่ที่นี่ทุกคน ที่ต้องแจ้งข่าวให้กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้ทราบ

 

เมื่อท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวเทศนาจบและก้าวเท้าลงมาจากมิมบัร ประชาชนได้แห่เข้ามาหาท่่านกับท่านอะลีอย่างล้นหลาม และไม่ทันที่ประชาชนจะแตกแถวออกไป ท่านญิบรออีลก็ได้นำเอาโองการอัล-กุรอานมาให้ท่าน

 

الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ وَأَتْمَمْتُ عَلَيْكُمْ نِعْمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ الإِسْلاَمَ دِينًا

 

วันนี้ ฉันได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้วแก่พวกเจ้า ฉันได้ให้ความกรุณาเมตตาของฉันครบบริบูรณ์แล้ว และฉันได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาสำหรับสูเจ้า (๕/๓)

 

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า

 

الله اكبر، الله اكبر على اكمال الدين و اتمام النعمة و رضى الرب برسالتى و الولاية لعلى من بعدى

 

อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร แทัจริงพระองค์ได้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์  ทรงประทานความโปรดปรานแก่พวกเราอย่างครบถ้วน และทรงพีงพอพระทัยกับนบูวัตของฉัน และวิลายะฮ์ของอะลีภายหลังจากฉัน

 

ในเวลานั้น ประชาชนเริ่มวุ่นวาย เนื่องจากทุกคนต่างคนต่างแย่งกันเข้ามาแสดงความดีใจกับท่านอะลี (อ.) แม้แต่บุคคลในชั้นแนวหน้าอย่างอบูบักร และอุมัรเองก็เข้าแสดงความดีใจกับท่านอะลีด้วย ทั้งสองได้กล่าวต่อหน้าประชาจำนวนมากมายในวันนั้นว่า

 

بخ بخ لك ياابن ابى طالب اصبحت و امسيت مولاى و مولا كل مؤمن و مؤمنة

 

ขอแสดงความยินดีกับท่าน โอ้บุตรของอบูฏอลิบ บัดนี้ท่านได้เป็นผู้ปกครองและเป็นผู้นำของฉัน และของผู้ศรัทธาชนทั้งชายและหญิง

 

เวลานั้น ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่าคำมั่นสัญญานี้จะยืนหยัดตลอดไป

 

ฮิซาน บิน ซาบิต นักกวีที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น ได้ขออนุญาตท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) อ่านบทกวีเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

 

يناديهم يوم الغديرنبيهم                بخمّ واسمع بالرسول مناديا

فقال فمن مولاكم و نبيكم              فقالو و لم يبدوا هناك التعاميا

الهك مولانا و انت نبينا                و لم تلق منا فى الولاية عاصيا

فقال له قم يا على فاننى               رضيتك من بعدى اماما و هاديا

فمن كنت مولاه فهذا وليه              فكونوا له اتباع صدق مواليا

هناك دعا اللهم و ال وليه              و كن للذى عادا عليا معاديا

 

ท่านศาสดาได้เรียกพวกเขาให้มารวมกันในวันเฆาะดีร ณ คุม เพื่อฟังสิ่งที่เราะซูลได้เรียกมา

ท่านกล่าวว่า ใครเป็นนายและเป็นนบีของพวกท่าน พวกเขาตอบอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่อ้อมค้อมทันทีว่า

พระผู้เป็นเจ้าของท่าน คือ นายของพวกเรา และท่านคือนบีของพวกเรา การที่เรายอมรับวิลายะฮฺของท่านจะไม่ทำให้เราระหกระเหิน

ท่านศาสดา (ซ็อล ฯ) กล่าวกับอะลีว่า ลุกขึ้นเถิดฉันได้เลือกให้เจ้าเป็นอิมามและผู้ชี้นำภายหลังจากฉันแล้ว

หลังจากนั้นกล่าวว่า ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองเขา อะลีก็เป็นผู้ปกครองเขาด้วย ดังนั้น พวกท่านจงปฏิบัติตามเขาด้วยความจริงใจ

เวลานั้น ท่านกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา โปรดเป็นศัตรูกับผู้ที่เป็นศัตรูกับอะลี

 

และนี่เป็นบทสรุปฮะดีษเฆาะดีรที่รายงานไว้ทั้งในตำราซุนนีและชีอะฮ์


ขอขอบคุณเว็บไซต์อิสลามิคซอร์ซ