สอนให้ลูกรู้จักอัลลอฮฺ
  • ชื่อ: สอนให้ลูกรู้จักอัลลอฮฺ
  • นักเขียน: เว็บไซต์อัชชีอะฮ์
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 21:13:27 1-9-1403

สอนให้ลูกรู้จักอัลลอฮฺ

การสอนให้เด็กรู้จักพระองค์อัลลอฮฺต้องเริ่มสอนตั้งแต่เมื่อไร ? ศาสนาอิสลามส่งเสริมการสอนเด็กให้รู้จักเว็บไซต์ อิมาม อัลฮะซะนัยน์ (อลัยฮิมัสลาม)เพื่อคุณค่าและสารธรรมอิสลามพระองค์อัลลอฮฺภายหลังการคลอดเลยทีเดียว โดยให้ทำการอะซานที่หูข้างขวา และทำการอิกอมะฮฺที่หูข้างซ้ายให้แก่ทารกภายหลังการคลอด

จากท่านอบูรอฟิอฺ กล่าวว่า "ฉันเห็นท่านเราะซูลุลลอฮฺ (ซ็อล ฯ) อะซานที่หูของหะสัน บุตรของอลีย์ ขณะที่ฟาติมะฮฺได้คลอดเขาออกมา" รายงานโดย อบูดาวูด และติรฺมิซีย์

จากท่านหะสัน บุตรของท่านอลีย์ จากท่านมุหัมมัด กล่าวว่า "เมื่อบุคคลหนึ่งได้บุตร ให้เขาทำการอะซานที่หูข้างขวา และอิกอมะฮฺที่หูข้างซ้าย (หากกระทำเช่นนั้น) อุมมุศศิบยาน (คือญินที่ชอบรบกวนทารก) จะไม่ทำอันตรายต่อทารกผู้นั้น" รายงานโดย บัยหะกีย์ และอิบนุ สุนนีย์

การอะซานที่หูขวา และอิกอมะฮฺที่หูซ้ายของทารก ใช่ว่าจะส่งผลทางด้านการทำให้ทารกได้รับกลิ่นอายของการรู้จักพระเจ้าเท่านั้น แม้แต่วงการแพทย์ ยังกล่าวถึงประโยชน์ของการกระตุ้นทารกภายหลังการคลอดไว้อย่างน่าฟังว่า

"ท่านทราบไหมว่าหลังคลอดจำนวนเซลล์สมองจะมีประมาณถึง 100 ล้านล้านเซลล์, เซลล์สมองจะไม่เพิ่มขึ้นไปอีก แต่จะมีการแตกแขนงประสาทเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนงประสาทเหล่านั้นจะยืนยาวออกไป จะมีการเพิ่มจำนวนของจุดเชื่อมโยงระหว่างปลายประสาทหรือจุดประสานประสาทของแขนงจากเซลล์สมองต่าง ๆ เหล่านั้นขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้สมองของเด็กระยะหลังคลอดเพิ่มขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบเป็นสองเท่าของการเพิ่มขนาดหรือน้ำหนักตัวของเด็กเลยทีเดียว"

ครั้นเมื่อทารกเติบโตขึ้นจนกระทั่งเขาเริ่มหัดพูด พ่อแม่ต้องสอนให้เขารู้จักพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการสอนให้กล่าวคำ "ชะฮาดะฮฺ" เป็นประโยคแรก ทั้งนี้เพื่อทำให้เขาได้สัมผัสกับถ้อยคำที่ดีที่สุด และเป็นถ้อยคำที่เขาจะต้องผูกพันตลอดไป

จากท่านอิบนุอับบาส จากท่านเราะซูลุลลอฮฺ (ซ็อล ฯ) กล่าวว่า "พวกท่านจงสอนประโยคแรกให้แก่ลูก ๆ ของพวกท่านด้วย "ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ" (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สมควรได้รับการอิบาดะฮฺ เว้นแต่พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้น)" รายงานโดย หากิม

จากรายงานข้างต้น เป็นแนวทางให้แก่พ่อแม่ทุกคนต่อการเริ่มสั่งสอนลูกหลานของตนด้วยถ้อยคำแห่งเตาฮีดฺ (การให้เอกภาพต่อพระองค์อัลลอฮฺ), ด้วยถ้อยคำแห่งอะกีดะฮฺ และด้วยถ้อยคำแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงสร้างมนุษย์, การเริ่มสอนด้วยถ้อยคำแห่งเตาฮีดฺเป็นการชี้ให้เห็นว่าเด็กได้ซึมซาบถึงความสำคัญของพระองค์อัลลอฮฺ และเป็นถ้อยคำแรกของเด็กเมื่อเริ่มหัดพูดทั้ง ๆ ที่เด็กใกล้ชิดและผูกพันกับพ่อแม่มากกว่า แต่อิสลามกลับไม่แนะนำส่งเสริมให้พ่อแม่สอนเด็กพูดประโยคแรกด้วยการเริ่มหัดพูดคำว่า "พ่อจ๋า, แม่จ๋า" หรือสอนให้เรียกชื่อพ่อแม่ นี่คือหิกมะฮฺที่พ่อแม่จะต้องค้นหาคำตอบ


    เป็นการให้เด็กเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญของพระองค์อัลลอฮฺที่ทรงบังเกิดมนุษย์ขึ้นมา แม้นว่าพ่อแม่จะมีความผูกพัน ให้การอบรมเลี้ยงดู หรือแสวงหาปัจจัยยังชีพมาให้ก็ตามที แต่ทุกสิ่งที่แสวงหามานั้นล้วนมาจากพระองค์อัลลอฮฺทั้งสิ้น
    ถ้อยคำแห่งเตาฮีดฺ เสมือนจะบอกว่า "โอ้ เด็กน้อย ! เจ้าจงอย่าตั้งภาคีต่อพระองค์อัลลอฮฺเมื่อเจ้าเติบโตในอนาคต เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ส่วนพระเจ้าอื่นล้วนแต่ถูกอุปโลกน์มาทั้งสิ้น"

ถ้อยคำเตาฮีดฺยังส่งผลให้เด็กเกิดความยำเกรง ไม่กล้าฝ่าฝืนสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามเอาไว้ เพราะเด็กถูกปลูกฝังให้สัมพันธ์กับพระองค์ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ, ฉะนั้นเด็กจะเข้าใจทันทีว่าเมื่อเขากระทำความผิด มิได้หมายความว่าเป็นการฝ่าฝืนพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นการฝ่าฝืนที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นหมายถึงการฝ่าฝืนพระผู้เป็นเจ้า

พ่อแม่จำเป็นจะต้องสอนลูกหลานของตนให้รู้จักพระองค์อัลลอฮฺก่อนสิ่งอื่นใด ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกหลานเหล่านั้นจะไม่เข้าใจถึงเนื้อหาก็ตาม ไม่ว่าจะสอนให้เรียกนามของพระองค์อัลลอฮฺ หรือสอนถึงการสร้างสรรพสิ่งต่าง ๆ บนโลกดุนยาแห่งนี้ ทั้งนี้เพื่อให้พวกเขาได้เคยชินและคุ้นเคยกับเรื่องราวของพระองค์อัลลอฮฺ อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงการรำลึกและเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างความเป็นบ่าวกับพระผู้เป็นเจ้า

ใช่แต่เท่านั้นพ่อแม่จะต้องสอนมิให้ลูกหลานของตนกราบไหว้สิ่งที่อ้างว่าเป็นพระเจ้า หรือนำสื่งอื่นมาตั้งภาคี เพราะการตั้งภาคีถือว่าเป็นความผิดอันมหันต์ถึงกับสิ้นสภาพการเป็นมุสลิมเลยทีเดียว ดั่งเช่นท่านลุกมาน เคยสั่งลูกของเขามาแล้วในอดีต

"และจงรำลึกเมื่อลุกมานกล่าวแก่บุตรของเขาโดยสั่งสอนเขาว่า โอ้ ลูกรัก ! เจ้าจงอย่าตั้งภาคีใด ๆ ต่อพระองค์อัลลอฮฺ แท้จริงการตั้งภาคี ถือว่าเป็นความผิดอันมหันต์อย่างแน่นอน" ซูเราะฮฺ ลุกมาน อายะห์ที่ 13
อัลลอฮฺ เป็นใคร

อัลลอฮฺคือ พระนามของพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างมนุษย์ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล พระองค์ทรงมีโดยไร้จุดเริ่มต้น และทรงมีอยู่นิรันดรโดยไม่มีจุดจบ พระองค์แตกต่างกับทุกสรรพสิ่งอย่างสิ้นเชิง ทรงดำรงด้วยพระองค์เอง มิต้องทรงพึ่งพาสิ่งใด พระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้าเอกองค์เดียว ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกเหนือจากพระองค์

อัลลอฮฺทรงมีความสามารถในการบันดาลทุกสรรพสิ่ง ทรงรอบรู้โดยไม่จำกัดขอบเขต ทรงสดับฟังโดยมิต้องพึ่งโสต ทรงเห็นโดยมิต้องใช้สายตา ทรงมีชีวิตและทรงสามารถสื่อสารด้วยคำพูดโดยมิต้องใช้ลิ้น

อัลลอฮฺเป็นพระปฐมนามแห่งพระองค์ พระองค์ทรงมีพระนามอันวิจิตรอื่น ๆ อีกมากกว่า 99 พระนาม ซึ่งบ่าวของพระองค์สามารถใช้นามเหล่านั้นเรียกพระองค์ได้

พระองค์ไร้เพศ ไร้ตัณหา ไม่มีคู่ครอง ไม่มีบุตร ไร้ภาคี ไม่มีรูปร่างตัวตน พระอาตมันแห่งพระองค์อยู่นอกเหนือกาละและเทศะ เพราะทั้งสองสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง พระองค์ทรงกำหนดระบบและปัจจัยของทุกสรรพสิ่ง อีกทั้งยังได้กำหนดจุดเริ่มต้นและจุดจบของสรรพสิ่งที่พระองค์สร้างทั้งมวล

อัลลอฮฺคือ อาตมันที่ทรงสิทธิในการได้รับการเคารพบูชาอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งใดอย่างเด็ดขาดที่ควรแก่การเคารพบูชานอกเหนือจากพระองค์
การรู้จักพระผู้เป็นเจ้า

ในปัจจุบันนี้มนุษย์ที่มีศาสนาส่วนมากจะเชื่อในเรื่องพระเจ้าและการสร้างสรรค์ของพระองค์ พร้อมตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ผู้คนในอดีตก็มีสภาพไม่แตกต่างอะไร หากเราย้อนกลับไปสู่มนุษย์ในยุคแรก ก็จะพบเราะงรอยที่แสดงให้เห็นว่า ศาสนาและความเชื่อเรื่องของพระผู้เป็นเจ้านั้น มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ซึ่งพอที่จะเป็นเหตุผลให้กับเราได้ว่า พวกเขาก็เชื่อและศรัทธาต่อสัจจะ ฉะนั้นการเชื่อในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้านั้น จึงมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย

ผลการศึกษาและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ผู้มีปัญญาย่อมใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ หากมนุษย์ตั้งคำถามกับตัวเองเกี่ยวกับการอุบัติของเอกภพ การควบคุมดูแลให้มันดำเนินไปตามระบบเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะให้คำตอบกับตัวเองว่า แน่นอนโลกนี้ต้องมีพระผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงเป็นนิรันดร์ และไม่มีการดับสลาย ได้ให้การอุบัติมันขึ้น พร้อมด้วยควบคุมดูแลมันด้วยความรู้และอำนาจของพระองค์ที่ไม่มีขอบเขตจำกัด พระองค์สิ่งที่สมบูรณ์ ส่วนเอกภพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพิงอาศัยพระองค์

การคิดในทำนองนี้จะสร้างความอบอุ่นและให้กำลังใจแก่ตัวเองเสมอ ฉะนั้นเมื่อใดก็ตาม ที่ชีวิตของเขาต้องประสบกับปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดจนหมดหนทางแก้ไข เขาจะไม่วันหมดหวังอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาตระหนักดีว่า กาลเวลาในทุกสภาวการณ์และทุก ๆสาเหตุ แม้ว่ามันจะมีพลังและอิทธิพลอยู่ในตัว แต่มันก็ไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพลังของพระผู้เป็นเจ้า

ทุกเวลาหากมนุษย์หันเหความคิดของตนมาตรึกตรองโลกและสิ่งถูกสร้างอื่น ๆ ตลอดจนกฎระเบียบควบคุมมันอยู่เมื่อนั้นเขาจะพบกับความจริง พระองค์ทรงตรัสว่า

"แท้จริงในการสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน มันมีสัญญาณอยู่มากมายสำหรับมวลผู้ศรัทธา (ที่จะนำพาพวกเขาไปพบกับพระผู้สร้าง) และในการสร้างพวกปศุสัตว์ทั้งหลายและบรรดาสรรพสิ่งอื่น ๆและในการเปลี่ยนสลับของกลางคืนและกลางวัน (ซึ่งในบางครั้งอาจยาวเท่ากันและไม่เท่ากัน และบางครั้งก็ร้อนและหนาวไม่เท่ากัน) ตลอดจนน้ำฝนจากฟากฟ้าที่พระองค์ได้หลั่งลงมาเพื่อชุบชีวิตแก่แผ่นดินหลังจากที่มันได้ตายไปแล้ว และการผันแปรของลม (ในฤดูกาลต่าง ๆ) ล้วนเป็นสัญลักษณ์แก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา (และด้วยสัจธรรมเหล่านี้เองที่โน้มนำเขาไปสู่การรู้จัก) " (บทอัล ญาซียะฮฺ โองการที่ 3-5)

ขอขอบคุณเว็บไซต์อัชชีอะฮ์