โลกหลังความตาย3นาทีในอะลัมบัรซัค
บรรยายโดย ดร.นัศรุลลอฮ์ สิคอวะตี ลอดอนี
หลังจากที่อามัลที่ดีงามทั้งหมดของเขาหายไปในพริบตาเพราะเกิดจากการที่เขาเคยนินทาคนอื่นไว้ไม่ว่าจะเป็นการนมาซต้นเวลา การไปมัสญิด และบะซีญ ก็หายหมดสิ้น
������บะซีญ คือ
ที่มัสญิดนอกจากจะมีไว้ทำอิบาดัตแล้ว เเต่ละมัสญิดจะมีฐานชุมนุมหนึ่งที่คนจะมารวมตัวกันทำภารกิจที่นอกเหนือจากการทำอามัลอิบาดัต เช่นการฝึกใช้อาวุธ รวบรวมอาวุธ การเป็นทหารอาสาสมัครดูแลมัสญิดและชุมชนเป็นต้น
ชายผู้นี้เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบะซีญด้วย ซึ่งการทำงานในกลุ่มของบะซีญถือเป็นอามัลที่ดีอย่างหนึ่งของเขาด้วยเช่นเดียวกัน นอกเหนือจากบะซีญแล้ว เขาก็ยังทำงานในกลุ่มของฮัยอัตด้วย
������ฮัยอัต คือ กลุ่มหนึ่งที่ทำงานด้านวัฒนธรรมเผยแพร่เกี่ยวกับเรื่องราวการไว้อาลัยแก่
บรรดาอิมาม(อ.)เป็นต้น
อีกอามัลที่ดีงามที่เขาได้กระทำไว้คือ การทำให้บิดา-มารดา พึงพอใจนั่นเองและอามัลที่ดอื่นๆอีกมากมาย
������ หน้าที่ 2 ของบัญชีอามัล
ในขณะที่เขากำลังดูบัญชีอามัลของตนในหน้าต่อไป ทำให้เขาย้อนคิดกลับไปในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างอิรัก-อิหร่าน ในช่วงสงครามบรรดาทหารก็จะทำอามัลอิบาดัตทำความดีอย่างมากมาย ซึ่งเขาเองก็เห็นอามัลที่ดีงามในหน้านี้ที่คิดว่ามันคงเยอะพอ และครั้งนี้น่าจะไม่หายอีกแล้ว ทันใดนั้นอามัลความดีที่ถูกบันทึกไว้ในหน้านั้นหายไปในพริบตาเดียวอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาเห็นความดีถูกลบไปอีกแล้ว เขาจึงถามกับมะลาอิกะฮ์ว่า
������”ทำไมอามัลของผมจึงถูกลบออกไปอีกแล้ว?ซึ่งในตอนนั้นผมจำได้ว่าผมไม่ได้นินทาใคร”
������มะลาอิกะฮ์จึงตอบว่า
“เนื่องจากในวันนั้นคุณได้ล้อเลียนเพื่อนที่เคร่งศาสนาคนหนึ่งของคุณ ซึ่งอามัลที่น่ารังเกียจอันนี้ทำให้ความดีต่างๆของคุณถูกลบไปด้วย”
ถึงแม้ว่าการล้อเลียนเป็นอามัลที่ทำต่อหน้าไม่ได้ทำลับหลังแต่มันคือการงานที่น่ารังเกียจ ที่ทำให้การงานที่ดีงามทั้งหลายของเขาถูกลบล้างไป
✒️ จะเห็นได้ว่าจากโองการอัลกุรอานและริวายัตมีบันทึกไว้อย่างมากมายว่า บัญชีอามัลที่ดีงามจะถูกลบล้างด้วยกับอามัลที่น่ารังเกียจบางอย่าง
ชายผู้นี้ก็นึกถึงโองการหนึ่งขึ้นมาโดยที่มะลาอิกะฮ์ไม่ได้บอกกับเขานั่นก็คือซูเราะฮ์ยาซีน โองการที่30
يَا حَسْرَةً عَلَى الْعِبَادِ مَا يَأْتِيهِم مِّن رَّسُولٍ إِلَّا كَانُوا بِهِ يَسْتَهْزِئُونَ ( 30 )
“โอ้ อนิจจาต่อปวงบ่าว ไม่มีร่อซูลคนใดมายังพวกเขา เว้นแต่พวกเขาได้เย้ยหยันเขา”
������อธิบาย
ในวันที่บัญชีอามัลถูกเปิด ผู้ที่เย้ยหยันผู้อื่นเขาจะได้พบกับความรู้สึกเสียดายที่ยิ่งใหญ่จากการกระทำของเขา
โดยที่ชายผู้นี้ส่วนตัวเขาเป็นคนขี้เล่น ซึ่งบางครั้งการล้อเล่น การอำคนอื่น ทำให้มีผลเสียที่ตามมา มันมีผลทั้งทางด้านชัรอีและไม่ใช่ชัรอีด้วย
������ ในด้านชัรอี : สามารถล้อเล่นได้แต่ไม่ควรที่จะเกินขอบเขตมากเกินไป เพราะอาจจะก่อให้เกิดความผิดใจได้
การที่บางครั้งผู้ที่ถูกอำ ถูกล้อเล่น เขาอาจจะไม่สามารถลองรับการล้อเล่นอันนั้นได้ หรือสามารถลองรับได้
แต่ถ้าผู้ที่ทำการอำได้ล่วงเกินคนอื่นมากจนเกินไปเขาก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองด้วย
������ตัวอย่างของการล้อเล่นที่ไม่ดีคือในหมู่ของบรรดาทหารแน่นอนว่าพวกเขาทุกคนล้วนแล้วอยากเป็นชะฮีด มีทหารคนหนึ่งที่ถวิลหาการเป็นชะฮีดอย่างมาก แต่ทว่าเขามีครอบครัวมีลูกแล้ว ในหมู่ทหารที่โสดเขาก็ล้อเล่นกันว่า "ถ้าหากว่าเธออยากจะแต่งงาน ก็แต่งกับสตรีคนนั้นซิที่สามีของนางชะฮีดไปแล้ว" ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็มีลูกแล้วและลูกของนางคือหนึ่งในทหารที่อยู่ในสนามรบนั้นด้วย ทหารคนหนึ่งก็เลยพูดขึ้นว่า ถ้าฉันแต่งงานกับแม่เธอ ก็เท่ากับว่าฉันก็เป็นพ่อเธอด้วยน่ะซิ เป็นไปในลักษณะการล้อเล่น ทันใดนั้นชายคนที่มีครอบครัวก็เดินเข้ามา และเห็นฉากนี้พอดีทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ และได้ต่อว่า ว่าทำไมพูดจาในลักษณะเช่นนี้กัน มันเป็นการล่วงเกินทั้งภรรยาและลูกของเขาด้วยนะ
������อันนี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำการล่วงเกินผู้อื่น ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะทำให้ผู้อื่นเสียเกียรติ
������ หน้าที่3 ของบัญชีอามัล
ในหน้านั้นมีความดีบันทึกอยู่อย่างมากมาย ในคราวนี้บัญชีอามัลเหล่านั้นไม่ถูกลบออกไป
เขาก็แปลกใจว่าทำไมจึงไม่ถูกลบเพราะเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับหน้านี้นั้นเขาล้อเล่นและหัวเราะกับเพื่อนๆของเขาด้วย
������เขาจึงถามกับมะลาอิกะฮ์ว่า “ทำไมความดีหน้านี้จึงไม่ถูกลบ”
������มะลาอิกะฮ์ตอบว่า
“การล้อเล่นในวันนั้นถูกบันทึกเป็นการงานที่ดี ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าที่ผ่านมา
เพราะ การล้อเล่นในหน้านี้นั้นไม่ได้เป็นเหตุทำให้ผู้อื่นเสียเกียรติ”
ชายผู้นี้ดีใจเป็นอย่างมากและขอบคุณต่อพระองค์อีกทั้งนึกถึงฮะดิษบท
������หนึ่งของท่านอิมามฮุเซน(อ.)ได้กล่าวว่า
“อามัลที่ดีที่สุดที่รองลงมาจากการยืนนมาซคือการทำให้หัวใจของผู้ศรัทธามีความสุข”
������ หน้าที่4 ของบัญชีอามัล
หน้านี้ทำให้เขาดีใจบวกกับความตกใจ เนื่องจากว่าหน้านั้นเป็นสะวาบของการทำฮัจญ์ถูกบันทึกเอาไว้ ชายผู้นี้หัวเราะ และหันกลับไปถามมะลาอิกะฮ์ว่า