ลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ และลัทธิยะมานียะฮ์ คือ เนื้อร้ายที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกัดกล่อนเอกภาพของประชาชาติมุสลิม
อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงกล่าวเตือนมุสลิมอยู่เสมอว่า "กลุ่มคนที่ตั้งตนเป็นศัตรูอย่างชัดเจนสำหรับประชาชาติมุสลิม ก็คือ ชาวยิว ดังที่ประจักษ์แจ้งแก่ทุกคนในวันนี้แล้วถึงพฤติกรรมอันป่าเถื่อนของยิวไซออนิสต์ที่มีต่อประชาชาติอิสลาม โดยเฉพาะที่มีต่อพี่น้องซุนนี่ห์ชาวปาเลสไตน์
لَتَجِدَنَّ أَشَدَّ النَّاسِ عَدَاوَةً لِّلَّذِینَ آمَنُواْ الْیَهُودَ
แน่นอนเจ้าจะพบว่า หมู่ชนที่ตั้งตนเป็นศัตรูอันรุนแรงที่สุดแก่บรรดาศรัทธาชน นั่นคือ ชาวยิว (อัลมะอิดะฮ์ บทที่ 82)
และให้พี่น้องพึงรู้ว่า พวกมันจะไม่ยอมหลับนอน จะไม่ยอมหยุด และจะหาทุกวิถีทางเพื่อให้อิสลามอ่อนแอลง และเพื่อทำลายอิสลามในที่สุด แต่ให้ชาวยิวได้รู้ไว้ด้วยว่า "พวกเอ็งจะไม่มีวันบรรลุตามวัตถุประสงค์นี้อย่างแน่นอน เพราะพวกเอ็งจะต้องจนตอใหญ่ นั่นคือ ชีอะห์อะลี"
และสิ่งที่พี่น้องประชาติมุสลิมพึงตระหนักอยู่เสมออีกประการหนึ่งอันเป็นนโยบายหลักของยิวไซออนิสต์ นั่นก็คือ "นโยบายการสร้างความแตกร้าว ความร้าวฉานระหว่างประชาชาติมุสลิมด้วยกันเอง" เราจึงเห็นลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ถูกสร้างขึ้นในสังคมพี่น้องมุสลิมนิกายซุนนี่ห์ และเห็นลัทธิยะมานีถูกสร้างขึ้นในสังคมพี่น้องนิกายชีอะห์
เพื่อให้พี่น้องได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นอีกผมจะซูมให้ใกล้เข้ามาอีกนิด หากพี่น้องสังเกตุดีๆ จะเห็นความแปลกปลอมพร้อมความรุนแรงในหลักความเชื่อในสองลัทธิอันเป็นเนื้องอกของประชาชาติมุสลิม ตัวอย่างเช่น
1- ลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ เชื่อว่า : การตักลีดตามอิมามคนหนึ่งคนใดจากอิมามทั้ง 4 เป็นการเฉพาะ(ชาฟีอี ,ฮะนาฟี , ฮัมบะลี และมาลิกี) ถือเป็นการกระทำที่ทำให้เขาต้อง"ตกศาสนา" เป็นกาเฟร เลยทีเดียว
ดังใจความคำพูด อิบนิ ตัยมียะฮ์ บิดาทางความคิดของลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
"หากคนหนึ่งบอกว่า เขาได้ยึดปฏิบัติ(ตักลีด)ตามอิมามคนหนึ่งคนใด(จากสี่คน)เป็นการเฉพาะ (เช่นยึดปฏิบัติตามอิมามชาฟีอีเท่านั้น)ให้ถือว่า การกระทำของเขาผู้นี้ คือ "การกระทำของคนโง่เขลา คือการกระทำของผู้หลงผิด และคือการกระทำของกาเฟร(ผู้ปฏิเสธอิสลาม)
และหากปราศจากการสำนึกผิด(เตาบะฮ์) ก็จงสังหารเขาเสีย
ความว่า "อิบนิตัยมียะฮ์ บอกว่า คนที่ตักลีดตามอิมามทั้งสี่คนหนึ่งคนใดเป็นการเฉพาะ เขาตกอยู่ในฮุกุมกาเฟร และจำเป็นต้องสังหาร"
مِمَّنْ يَتَعَصَّبُ لِوَاحِدٍ مُعَيَّنٍ، غَيْرِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَمَنْ يَتَعَصَّبُ لِمَالِكٍ أَوْ الشَّافِعِيِّ أَوْ أَحْمَدَ أَوْ أَبِي حَنِيفَةَ، وَيَرَى أَنَّ قَوْلَ هَذَا الْمُعَيَّنِ هُوَ الصَّوَابُ الَّذِي يَنْبَغِي اتِّبَاعُهُ، دُونَ قَوْلِ الْإِمَامِ الَّذِي خَالَفَهُ. فَمَنْ فَعَلَ هَذَا كَانَ جَاهِلًا ضَالًّا: بَلْ قَدْ يَكُونُ كَافِرًا ؛ فَإِنَّهُ مَتَى اعْتَقَدَ أَنَّهُ يَجِبُ عَلَى النَّاسِ اتِّبَاعُ وَاحِدٍ بِعَيْنِهِ مِنْ هَؤُلَاءِ الْأَئِمَّةِ دُونَ الْإِمَامِ الْآخَرِ فَإِنَّهُ يَجِبُ أَنْ يُسْتَتَابَ، فَإِنْ تَابَ وَإِلَّا قُتِلَ».
ابن تیمیه، احمد، الفتاوی الکبری، محقق: محمد عبدالقادر عطا مصطفى عبدالقادر عطا، دار الكتب العلمية، ج2، ص105
มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ผู้ก่อตั้งลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างดุเดือดไม่เเพ้ อิบนิตัยมียะฮ์ ไว้ว่า
"อุปมาของชาวยิว และชาวนัศรอนี ที่ได้นำเอานักพรตขึ้นมาเป็นพระเจ้า อุปมัยได้ดั่งชาวมุสลิมที่นำอิมามทั้งสี่(ชาฟีอี ,มาลิกี, ฮัมบะลี และฮะนะฟี)ขึ้นมาเป็นอิมาม(เป็นที่ย้อนกลับ) ฉันเรียกการกระทำนี้ของมุสลิมว่า คือ "การทำชิริก"
อับดุลวะฮ์ฮาบ ฮุกุมพี่น้องซุนนี่ห์ที่ตามอิมามทั้งสี่ว่า คือพวกมุชริก และตั้งฉายาการกระทำนี้ของชาวซุนนี่ห์ว่า «اربابا من دون الله» คือ ผู้ยึดเอานักปราชญ์เป็นพระเจ้านอกเหนือจากอัลลอฮ์
«اتخذوا أحبارهم ورهبانهم أرباباً من دون الله [التوبة: 31] فسرها رسول الله و الأئمة بعده، بهذا الذى تسمونه الفقه، و هو الذى سماه الله شركاً، و اتخاذهم أرباباً،.»
الدرر السنيه فى الاجوبة النجديه، ج 2، ص 59.
2- ลัทธิยะมานี กล่าวหาชีอะห์ที่ยึกการปฏิบัติตามมัรญิฮ์(ตักลีด)ในเรื่องศาสนกิจ(ฟิกฮ์)ตามคำสั่งของผู้ที่อยู่ในฮะดิษ "ษะก่อลัยน์" ว่า คือ ผู้ที่เอานักปราชญ์ขึ้นมาแทนการเชื่อฟังอัลลอฮ์ และแน่นอนพวกเขา(ชีอะห์)คือผู้ที่ออกจากแนวทางแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ไปแล้ว
และผู้ที่ปฏิเสธแนวทางยะมานี คือ ผู้ที่ออกจากแนวทางแห่งวิลายะฮ์อะลี ยิบ นิ อบี ฏอลิบ
นี้คือความเหมือนกันของสองลัทธิวะฮ์ฮาบียะฮ์ และยะมานี ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ความแตกแยกในสังคมมุสลิม อันเป็นนโยบายหลักของระบอบยิวไซออนิสต์
บทความโดย เอกภาพ ชัยศิริ