อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 16]ความเชื่อเรื่อง “มะอาด” (การคืนสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้า)
โดย เชคอันศอร เหล็มปาน
“จะมีวันหนึ่งที่โลกจะต้องถึงกาลปาวสาน” คือประโยคร่วมกันที่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาต่าง ๆ อิสลาม ,พุธ ,คริส และศาสนาอื่นๆในโลกนี้ และหากย้อนกลับไปดูกระแสความเชื่อเรื่อง “วันสิ้นโลก” นั้น มักจะถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ ตลอดมา ถึงขนาดที่มีข่าวการพบกลุ่มคนประหลาด 7 คนที่สื่อเนเธอร์แลนด์ระบุว่าเป็นพ่อกับลูก ตัดขาดจากโลกภายนอกใช้ชีวิตอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านในชนบทนาน 9 ปี เพื่อรอคอยวันสิ้นโลก
อิสลามได้ให้นิยามวันสิ้นโลก(กิยามะฮ์)ไว้ว่า “ทุกๆสิ่งต้องพบกับกาลปวสานเพื่อการคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งที่นิรันดร์”
อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 16]ความเชื่อเรื่อง “มะอาด” (การคืนสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้า)
หลักศรัทธาประการที่ 5 จากอุศูลุดดีน ก็คือ การเชื่อว่าองค์อัลลอฮ์ทรงทำให้ประชาชาติทั้งมวลคืนสู่ชีวิตใหม่ในโลกหน้าเพื่อฟังคำตัดสินต่อพฤติกรรมที่ได้ทำไว้ในโลกนี้ ต่อจากนั้นพระองค์ก็จะทรงให้รางวัลผู้ที่พฤติตนดีและทรงลงโทษผู้ที่กระทำผิด
อัลลอฮ์ ซ.บ. ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัล-ซัลซะละฮ์ ว่า
يَوْمَئِذٍ يَصْدُرُ النَّاسُ أَشْتَاتًا لِّيُرَوْا أَعْمَالَهُمْ فَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا يَرَهُ وَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ
[99:6-8]ในวันสิ้นโลกมนุษย์จะกระจายออกมาเป็นกลุ่มๆเพื่อให้ดูการตอบแทนผลงานของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ว่าดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนึ่งแม้มีน้ำหนักเพียงเท่าผงธุลีเขาก็จะได้เห็นมัน และผู้ใดได้ปฎิบัติความชั่วหนึ่ง แม้มีน้ำหนักเพียงเท่าผงธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน
อิสลามได้ให้นิยามวันสิ้นโลก(กิยามะฮ์)ไว้ว่า “ทุกๆสิ่งต้องพบกับกาลปวสานเพื่อการคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งที่นิรันดร์”
ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. กล่าวว่า “พวกเรามิได้ถูกให้กำเนิดขึ้นมาเพื่อการสูญสลาย แต่ทว่าเพื่อการดำรงอยู่อย่างนิรันดร์ และแท้จริงแล้วพวกเราได้ถูกเปลี่ยนจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง” (บิฮารุ้ลอันวารฺ เล่มที่ 6:249)
สภาพสังคมก่อน “วันสิ้นโลก”
ศาสนาอิสลามมีหลักคำสอนไว้อย่างมากมายถึงรายเอียดต่างๆของ “วันสิ้นโลก” ที่มีระบุไว้ในคัมภีร์อัลกุรอ่าน และวจนะของศาสนทูตแห่งพระเจ้า และบรรดาอิมามผู้ทรงบริสุทธิ์ ที่ได้บอกกล่าวถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่โลกจะถึงกาลปวสาน เช่น
1. การปกครองจะเต็มไปด้วยความอธรรม และการกดขี่ขมเหง
ท่านศาดา ศ. กล่าวว่า : “ยุคหนึ่งจะมาถึงที่คนกลุ่มหนึ่งจะขึ้นปกครองเหนือผู้คน ที่หากผู้คนได้พูด(วิจารย์)สิ่งใด พวกเขาก็จะถูกฆ่า และหากพวเขานิ่งเงียบเสีย ก็จะตีความว่า พวกเขาเห็นชอบด้วย(มุบะฮ์)”
ท่านอิมามอะลี อ. กล่าวว่า : ในยุคนั้น(ยุคใกล้วันสิ้นโลก)ผู้คนต้องเป็นหมาป่า(จึงจะปลอดภัย)ไม่เช่นนั้นแล้วหมาป่าตัวอื่นๆก็จะรุมกินทิ้งเขา
ผู้คนในยุคสุดท้ายก่อนวันสิ้นโลกจะมาถึง จะคบค้าสมาคมกันเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุเท่านั้น ต่างคนต่างจ้องที่จะลิดรอนสิทธิ์ของกันและกัน สังคมมนุษย์จะกลายเป็นป่าที่เต็มไปด้วยฝูงสัตว์ ที่คอยจ้องจะฉีกเนื้อของกันและกัน มนุษย์เปรียบดั่งฝูงหมาป่าที่คอยขย้ำกัน สังคมถูกคุมบังเหียนโดยชนชั้นสูง คนยากจนเปรียบดั่งซากศพ ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงที่จะพูด หรือเรียกร้องสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น
2. ความเสื่อมทรามทางศาสนาและศีลธรรม
ท่านอิมามศอดิก อ. กล่าวว่า “เจ้าจะเห็นในวันนั้น การกินดอกเบี้ยอย่างเปิดเผย โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีไม่งามแต่ประการใด”
ท่านอิมาม อ. กล่าวไว้อีกว่า “เจ้าจะเห็นผู้คนในมัสยิดไม่มีความเกรงกลัวอัลลอฮ์ พวกเขาจะมารวมกันเพื่อนินทาง และกินเลือดเนื้อของผู้ที่อยู่กับสัจธรรม และพูดกันเรื่องสุรา และของมืนเมา”
ท่านอิมามศอดิก อ. กล่าวอีกว่า “วันนั้นเจ้าจะเห็นบุรุษเตรียมตัวเองสำหรับบุรุษ และสตรีเตียนมพร้อมตัวเองสำหรับสตรี และเจ้าจะเห็นบุรุษได้ค่าครองชีพจากทวาร และสตรีได้ค่าครองชีพมาจากอวัยวะเพศของนาง”
ท่านอิมาม อ. กล่าววถึงสังคมก่อนวันสิ้นโลกไว้อีกว่า “เจ้าจะเห็นสามีภรรยาร่วมมือกันให้ภรรยามีเพศสัมพันธุ์กับชายอื่น และเจ้าจะได้เห็นผู้คนส่วนใหญ่ และครอบครัวที่ดีนั้นคือผู้ที่สนับสนุนสตรีให้สตรีทำความชั่ว โดยไม่ยับยั้ง”
ท่านนบี ศ. กล่าวว่า “เด็กผู้ชายที่มีคุณธรรมสูง(มีศาสนา)คนหนึ่งจะออกจากบ้านในตอนเช้า แต่เด็กคนนั้นจะกลับเข้าบ้านในตอนเย็นในสภาพของเด็กที่ไร้ศาสนา”(เป็นการเปรียบเปรยให้เห็นถึงสังคมที่อันตรายต่อเด็กๆเยาวชนในยุคก่อนวันสิ้นโลก)
และสัญญาณต่างๆ ที่สามารถสรุปได้เช่นนี้
ผู้คนแข่งขันกันสร้างอาคาร บ้านเรือน
แม่คลอดลูกออกมาเป็นนาย
แผ่นดินไหวจะมีมาก
ความตายจะดาษดื่น(จากโรคร้าย)
มนุษย์จะแข่งกันประดับประดามัสยิด
คนโกหกจะได้รับความเชื่อถือ คนพูดจริงกลับถูกมองว่าโกหก
คนทุจริตจะปลอดภัย คนไว้วางใจกลับถูกบิดพริ้ว
การผิดประเวณี(ซีนา)จะดาษดื่น
ผู้ใหญ่จะรับใช้เด็ก
สตรีจะประพฤติตัวเหมือนบุรุษ ส่วนบุรุษจะประพฤติตัวเหมือนสตรี
สตรีจะนุ่งน้อยห่มน้อย
ผู้ทุจริตจะได้รับการช่วยเหลือ ผู้ถูกละเมิดกลับถูกทอดทิ้ง
ผู้คนจะอ่านอัลกรุอานเพียงลิ้น (ขาดการวินิจวิเคราะห์เพื่อการปฏิบัติตาม)
การนินทาให้ร้ายจะมีมาก
มนุษย์จะตัดญาติขาดมิตร
สตรีจะทำหน้าที่แทนบุรุษ
เด็กจะไม่ให้เกียรติผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะไม่เมตตาเด็ก
ความบริสุทธิ์ใจจะหายไปจากการงาน
มนุษย์จะถูกเรียกร้องสู่ขุมนรกและหันเหออกจากการภักดีต่ออัลเลาะห์ตาอาลา และอื่นๆ
لَا تَقُومُ السَّاعَةُ وإمَّا قالَ: مِن أَشْرَاطِ السَّاعَةِ، أَنْ يُرْفَعَ العِلْمُ، وَيَظْهَرَ الجَهْلُ، وَيُشْرَبَ الخَمْرُ، وَيَظْهَرَ الزِّنَا، وَيَقِلَّ الرِّجَالُ، وَيَكْثُرَ النِّسَاءُ
ท่านนบี ศ. กล่าวว่า แท้จริงสัญญาณส่วนหนึ่งของวันกิยามะฮ์ คือ ความรู้(ที่ถูกต้อง)ถูกยกขึ้นไป(ไม่เป็นที่ยอมรับ)ความไม่รู้จะปรากฏอย่างชัดเจน การผิดประเวณีทำกันอย่างแพร่หลาย มีการดื่มสุราได้ระบาด(ในสังคม) เพศชายจะน้อยลง และเพศหญิงจะเพิ่มมากขึ้น
وَيَبْقَى شِرَارُ النَّاسِ؛ يَتَهَارَجُونَ فِيهَا تَهَارُجَ الْحُمُرِ ، فَعَلَيْهِمْ تَقُومُ السَّاعَةُ
และในขณะนั้นจะเหลือเฉพาะมนุษย์ที่ชั่วร้ายพวกเขาจะมีการสมสู่กันเหมือนกับการสมสู่ของลาตัวผู้กับตัวเมีย ท่ามกลางพวกเขาเหล่านั้นแหละวันกิยามะฮฺก็จะอุบัติขึ้น
เหตุการณ์สำคัญในวันกิยามะฮ์(วันสิ้นโลก)
เอกภพจะมีการเปลี่ยนแปลงและพบกับกาลปวสาน และทุกสิ่งที่มีชีวิตรวมถึงมนุษย์ทุกๆคนก็จะล้มตายลง เพื่อที่จะให้ฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่ที่นิรันด์ในโลกหน้า อัลลอฮ์ ซ.บ. ได้กล่าวถึงสภาพของวันสิ้นโลกไว้ในอัลกุรอ่าน ว่า
ทุกชีวิตจะล้มตายเมื่อสังข์ได้ถูกเป่าขึ้น และทุกชีวิตก็จะฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่อสังข์ได้ถูกเป่าขึ้นในครั้งที่สอง
อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัล-ฮ๊ากเกาะฮ์ ว่า :
فَإِذَا نُفِخَ فِي الصُّورِ نَفْخَةٌ وَاحِدَةٌ، وَحُمِلَتِ الأرْضُ وَالْجِبَالُ فَدُكَّتَا دَكَّةً وَاحِدَةً، فَيَوْمَئِذٍ وَقَعَتِ الْوَاقِعَةُ، وَانْشَقَّتِ السَّمَاءُ فَهِيَ يَوْمَئِذٍ وَاهِيَةٌ
[69:13-16]ครั้นเมื่อเสียงเป่าครั้งแรกถูกเป่าขึ้นหนึ่งครั้ง (เป็นสัญญาณแจ้งให้ทราบถึงวันกิยามะฮ์) แผ่นดินและเทือกเขาจะถูกยกขึ้นแล้วมันทั้งสองจะถูกบดขยี้จนแตกกระจายเป็น ผุยผง ในวันนั้น คืออุบัตการณ์(วันกิยามะฮ์)ที่ได้เกิดขึ้น ชั้นฟ้าก็จะแยกออก และในวันนั้นมันก็จะกลายตัวลงล้มครืนย่างไม่เป็นระเบียบ
อัลลอฮ์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์อัซซุมัร อีกว่า :
وَنُفِخَ فِي الصُّورِ فَصَعِقَ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَمَن فِي الْأَرْضِ إِلَّا مَن شَاءَ اللَّـهُ ۖ ثُمَّ نُفِخَ فِيهِ أُخْرَىٰ فَإِذَا هُمْ قِيَامٌ يَنظُرُونَ
[39:68](สัญญาณที่ 1 ของวันกิยามะฮ์) จะถูกเป่าลงไปในแตร เมื่อนั้นสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในผืนแผ่นดินก็จะล้มลงดับดิ้น นอกจากผู้ที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ จากนั้น(สัญญาณของวันกิยามะฮ์ครั้งที่ 2)ก็จะถูกเป่าลงไปในนั้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ยืนขึ้นจ้องมอง(รอคอยการพิพากษา)
การเดินทางของชีวิตหลังฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่อีกครั้ง
มีการบันทึกไว้ว่า เมื่อวันกิยามัตได้อุบัติขึ้นสภาพมนุษย์ในวันนั้นจะเดินไปสู่สถานที่ต่างๆที่ถูกตระเตรียมไว้ ถึง 50 สถานที่ ในบางริวายะฮ์ระบุไว้ว่า บางสถานที่ต้องใช้เวลาเป็น 1,000 ปี เลยทีเดียวเชียว
อัลกุรอานกล่าวว่า
فِی یَوْمٍ کانَ مِقْدارُهُ خَمْسِینَ أَلْفَ سَنَة
ในวันหนึ่งซึ่งกำหนดของมันเท่ากับห้าหมื่นปี
ซึ่งพวกเขาจะเดินด้วยเท้าเปล่าเหมือนฝูงตั๊กแตนที่กระจายทั่วไป มืดมิดไปหมดกว่าจะถึงจุดหมาย ต่อไปขอลำดับสถานที่ ที่มนุษย์ทุกคนจะต้องเดินผ่าน
สถานที่แรก. สถานี “มะชูร” หรือการฟื้นคืนชีพ
คือการฟื้นคืนชีพจากร่างกายที่สลายไปแล้ว กลับคืนสู่สภาพเดิมในวันกิยามัต อัลกุรอานกล่าวว่า
وَأَنَّ السَّاعَةَ آتِيَةٌ لَا رَيْبَ فِيهَا وَأَنَّ اللَّهَ يَبْعَثُ مَنْ فِي الْقُبُورِ
“และแท้จริงวันอวสานจะมาถึงอย่างแน่นอน ปราศจากข้อสงสัยในมัน และแท้จริงอัลลอฮ์จะทรงให้ผู้ที่อยู่ในสุสานฟื้นคืนชีพขึ้นมา”
ริวายะฮ์จากท่านอิมามอะลี อ. กล่าวว่า ในวันนั้นมนุษย์จะถูกให้ฟื้นขึ้นมาในสภาพเท้าเปล่า เขาจะพบกับความกระหาย และหิวโหยเป็นเวลา 1,000 ปี ยกเว้นผู้ที่ศรัทธาในอัลลอฮ์ ศรัทธาต่อวันกิยามัต ศรัทธาต่อสวรรค์และนรกเขาจะได้รับการช่วยเหลือ
สถานที่สอง. สถานีรับสมุดบันทึก นั่นคือสมุดบันทึกอามั้ลความชั่วความดีทั้งหมด (الكتاب)
สถานต่อไปที่ทุกคนจะได้พบเจอหลังจากถูกให้ฟื้นคืนชีพมาแล้ว ก็คือ สถานีของการมอบสมุดอะมั้ล(สมุดจดบันทึกพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อครั้งที่อยู่บนโลกดุนยา) โดยมีการบันทึกไว้ว่า ผู้ประกอบกรรมดีจะได้รับสมุดนี้ด้วยกับมือขวา ส่วนผู้ที่ประพฤติตนไม่ดีและอยู่ในกลุ่มของคนชั่วช้าพวกเขาจะได้รับสมุดอะมั้ล ด้วยกับมือซ้าย
อัลกุรอานกล่าวว่า
فَأَمَّا مَنْ أُوتِيَ كِتَابَهُ بِيَمِينِهِ فَيَقُولُ هَاؤُمُ اقْرَؤُوا كِتَابِيهْ إِنِّي ظَنَنتُ أَنِّي مُلَاقٍ حِسَابِيهْفَهُوَ فِي عِيشَةٍ رَّاضِيَةٍفِي جَنَّةٍ عَالِيَةٍ قُطُوفُهَا دَانِيَةٌكُلُوا وَاشْرَبُوا هَنِيئًا بِمَا أَسْلَفْتُمْ فِي الْأَيَّامِ الْخَالِيَةِ وَأَمَّا مَنْ أُوتِيَ كِتَابَهُ بِشِمَالِهِ فَيَقُولُ يَا لَيْتَنِي لَمْ أُوتَ كِتَابِيهْ
“แท้จริงผู้ที่ถูกให้สมุดบันทึกความประพฤติของเขาด้วยมือขวาของเขา ก็จะกล่าว(ด้วยความยินดี)ว่า พวกท่านทั้งหลายมาสิ พวกท่านจงอ่านสมุดของฉันนี้เถิด และส่วนผู้ที่ถูกมอบสมุดบันทึกของเขาด้วยมือซ้ายของเขาก็จะพูด (ด้วยความรันทดใจ)ว่าโอ้ฉันน่าจะไม่ได้รับสมุดของฉันเลย(จะดีกว่า)”
พระองค์อัลลอฮ์ทรงตรัสถึงความเที่ยงธรรมในการตัดสินว่า
فَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ خَيْرًا يَرَهُ وَمَن يَعْمَلْ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ شَرًّا يَرَهُ
“ดังนั้นผู้ใดประพฤติความดีหนึ่ง แม้มีน้ำหนักเพียงเท่าผงธุลี เขาก็จะได้มองเห็นมัน และผู้ใดที่ประพฤติความชั่วหนึ่งแม้เพียงเท่าผงธุลี เขาก็จะได้มองเห็นมัน”
พระองค์ทรงตรัสอีกว่า
وَوُضِعَ الْكِتَابُ فَتَرَى الْمُجْرِمِينَ مُشْفِقِينَ مِمَّا فِيهِ وَيَقُولُونَ يَا وَيْلَتَنَا مَالِ هَذَا الْكِتَابِ لَا يُغَادِرُ صَغِيرَةً وَلَا كَبِيرَةً إِلَّا أَحْصَاهَا وَوَجَدُوا مَا عَمِلُوا حَاضِرًا وَلَا يَظْلِمُ رَبُّكَ أَحَدًا
“และสมุดบันทึก(การกระทำของทุกคน)ถูกวางไว้(ในมือของเจ้าตัว)แล้วเจ้าก็จะเห็นคนบาปทั้งหลายมีความประหวั่นกลัวเป็นที่สุด ต่อสิ่งที่มีอยู่ในนั้น และพวกเขาพูดว่า โอ้ความหายนะของเรา อะไรกันนี่ บันทึกนี้ไม่ละเลยแม้สิ่งเล็กน้อย และไม่ละเลยสิ่งใหญ่โต นอกจากได้บันทึกไว้อย่างครบถ้วน และพวกเขาได้พบสิ่งที่พวกเขาประพฤติไว้ มีปรากฏอยู่(ในสมุดบันทึกนั้นทุกประการ)และองค์อภิบาลของเจ้าจะไม่อธรรมแก่ผู้ใด”
ฉะนั้นสมุดบันทึกการกระทำของมนุษย์ คือประจักษ์พยานที่ดีที่สุดที่มนุษย์ไม่สามารถโต้เถียงหรือปฏิเสธการกระทำของตนเอง พระองค์ทรงตรัสว่า
هَذَا كِتَابُنَا يَنطِقُ عَلَيْكُم بِالْحَقِّ إِنَّا كُنَّا نَسْتَنسِخُ مَا كُنتُمْ تَعْمَلُونَ
“นี้คือสมุดบันทึกของเรา สมุดนี้จะพูดชี้แจง(เป็นพยาน)เกี่ยวกับ(ความประพฤติของ)พวกเจ้าโดยสัจจริงส่วนพวกเรานั้นแท้จริงเราได้ทำการบันทึกสิ่งที่พวกเจ้าได้เคยประพฤติไว้”
สถานที่สาม. สถานีการคำนวณ สอบสวน และตรวจสอบบัญชีการกระทำของมนุษย์ (الحساب)
อีกหนึ่งสถานีที่มนุษย์ทุกคนต้องผ่าน ก็คือ สถานนีของการไต่สวน ,สอบสวน ต่อการงานที่มนุษย์เคยกระทำไว้ หมายถึง การคำนวณ สอบสวน และตรวจสอบบัญชีการ กระทำของมนุษย์ และการไต่สวนและคิดบัญชีอะมัล เพื่อรับรางวัลและผลตอบแทนต่อการกระทำที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้จึงมีการกล่าวว้าว่า “ดุนยาคือโลกแห่งการกระทำส่วนอาคิเราะห์คือโลกแห่งการสอบสวน” ด้วยเหตุนี้เองวันกิยามัตจึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วันแห่งการสอบสวน” (يوم الحساب)
ฮะดีษบทหนึ่งซึ่งรายงานจากท่านศาสดา ศ. กล่าวว่า “ในวันกิยามัต เท้าของบ่าวของอัลลอฮ์ ซ.บ. จะไม่ก้าวเดิน จนกว่าจะถูกถามถึง 4 ประการต่อไปนี้ จากอายุขัยของเขาว่าเขาได้ใช้มันไปอย่างไร จากวัยหนุ่มสาว ของเขาว่าเขาได้ใช้ไปในหนทางของอะไร จากทรัพย์สินของเขาว่าได้แสวงหามันมาอย่างไร และได้ใช้จ่ายไปอย่างไร จากความรักที่มีต่อเราอะห์ลุลบัยต์
อัลกุรอานกล่าวว่า
إِنَّ الَّذِينَ يَضِلُّونَ عَن سَبِيلِ اللَّهِ لَهُمْ عَذَابٌ شَدِيدٌ بِمَا نَسُوا يَوْمَ الْحِسَابِ
“แท้จริงบรรดาผู้หลงออกจากทางของอัลลอฮ์นั้น พวกเขาย่อมได้รับการลงโทษอันสาหัส เพราะเหตุที่พวกเขาลืมวันสอบสวน”
พระองค์ทรงตรัสอีกว่า
وَإِن تُبْدُواْ مَا فِي أَنفُسِكُمْ أَوْ تُخْفُوهُ يُحَاسِبْكُم بِهِ اللّهُ
“และหากพวกเจ้าเปิดเผยสิ่งที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเจ้า หรือจะปิดบังมันไว้ก็ตาม อัลลอฮ์ก็จักทรงนำมันมาสอบสวนอย่างแน่นอน”
อีกหนึ่งสถานีที่จะต้องเผชิญหน้า ก็คือสถานีของการไต่สวน อัลกุรอานกล่าวว่า
اقْتَرَبَ لِلنَّاسِ حِسَابُهُمْ وَهُمْ فِي غَفْلَةٍ مُعْرِضُونَ
เวลาแห่งการคิดบัญชีของมนุษย์ได้ใกล้เขามาแล้ว โดยที่พวกเขาอยู่ในสภาพหลงลืมอีกทั้งเป็นผู้ผินหลังให้
สถานที่สี่. สถานี อัลซีรอต หรือ สะพานอันเที่ยงตรง” (الصراط)
เป็นสถานีที่อันตรายที่สุดของโลกอาคิเราะห์ เพราะหากมนุษย์ไม่สามารถข้ามผ่านสะพานซีรอตได้ นั้นหมายถึง สถานที่พำนักของเขา ก็คือ นรกญะฮันนัม หรือขุมขรกเพราะสะพานซีรอตมีนรกอยู่เบื้องล่าง แต่สำหรับผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์ทรงประสงค์จะให้เข้าสวรรค์ บางคนจะข้ามได้รวดเร็วมาก เปรียบเสมือนฟ้าแลบ บางคนก็เปรียบเสมือนขี่ม้าอย่างเร็ว บางคนก็จะเป็นลักษณะวิ่ง บางคนจะคลาน แต่รอดเพราะอามั้ลของเขา
ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า หากเขาเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของผู้ประกอบการดีเขาก็จะข้ามผ่านพ้นไปได้ และจะได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ของพระองค์ที่ถูกเตรียมไว้ให้เขา แต่หากมาจากกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืนเขาก็ไม่สามารถข้ามสะพานนี้ไปได้ ท้ายที่สุดเขาก็จะถูกนำตัวเขาสู่นรกญะฮันนัม พระองค์ทรงตรัสว่า
وَإِن مِّنكُمْ إِلَّا وَارِدُهَا كَانَ عَلَى رَبِّكَ حَتْمًا مَّقْضِيًّا ثُمَّ نُنَجِّي الَّذِينَ اتَّقَوا وَّنَذَرُ الظَّالِمِينَ فِيهَا جِثِيًّا
“และไม่มีใครจากพวกเจ้า(พ้นจากนรกได้)นอกจากต้องผ่านมัน(สะพาน อัซซิรอต)ไปอย่างแน่นอน สิ่งนั้นเป็นภาระที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยองค์อภิบาลของเจ้า หลังจากนั้น เรายังความรอดพ้นแก่บรรดาผู้มีจิตยำเกรง และเราทิ้งทุจริตชนทั้งหลายไว้ในนั้น(นรก)ในอาการคุกเข่า(ด้วยความหวาดหวั่นและระทมทุกข์)”
หลักคำสอนในเรื่องของสวรรค์
ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานได้อธิบายถึงคุณลักษณะต่างๆของสวรรค์ไว้มากกว่า 300 โองการ ซึ่งพระองค์ได้อธิบายไว้ในแง่มุมที่หลากหลาย ดังนี้
นามต่างๆของสวรรค์ที่ระบุไว้ในอัลกุรอาน
ญันนะฮ์ (الجَنَّةَ) ซึ่งให้ความหมายตามศัพท์ ก็คือ สวนที่มีต้นไม้หลากพันธ์ และผลที่หลากสี
ญันนะตุลคุล(جَنَّةُ الخُلْد) ให้ความหมายว่า สวรรค์อันเป็นที่พำนักที่นิรันดร์
ญันนะตุลอัดดะเนล(جَنَّةُ عَدْنٍ) ให้ความหมายว่า สวรรค์ที่มีความมั่นคงตลอดไป
ญันนะตุลฟิรเดาส์(جَنَّاتُ الْفِرْدَوْسِ) ให้ความหมายว่า สรวงสวรรค์อันสูงส่ง
ญันนะตุลนะอีม(جَنَّاتِ النَّعِيمِ) หมายถึง สวรรค์ที่เต็มไปด้วยความโปรดปราน
ญันนะตุลมะฮ์วา (جَنَّة الْمَأْوَى) หมายถึง สวรรค์อันเป็นที่พำนักอันสงบนิ่ง
เนี้ยะมัต(ความโปรดปรานต่าง)ที่มีอยู่ในสรวงสวรรค์
อัลกุรอานได้กล่าวถึงเนี้ยะมัต(ความโปรดปราน)ที่ปวงบ่าวผู้ซื่อสัตย์จะได้รับครั้นเมื่อพวกเขาได้เข้าไปพำนักในสรวงสวรรค์ไว้มากมาย บางอย่างจากสิ่งเหล่านั้นก็คือ
การเสริญของอัลลอฮ์และมวลมลาอิกะฮ์
พระองค์ตรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัซซุมัรโองการที่73 ว่า سَلَامٌ قَوْلًا مِن رَّبٍّ رَّحِيم
เป็นที่พำนักอันสงบ และเต็มไปด้วยความสุขอันล้นหลาม และไร้ซึ่งความทุกข์โศกใดๆทั้งสิ้น พระองค์ทรงตรัสว่า
ادْخُلُواْ الْجَنَّةَ لاَ خَوْفٌ عَلَيْكُمْ وَلاَ أَنتُمْ تَحْزَنُونَ
“ท่านทั้งหลายจงเข้าสวรรค์เถิด โดยพวกเจ้าจะไม่ประสบความหวั่นกลัวใดๆทั้งสิ้น”
จะได้ดื่มน้ำจากลำธารแห่งสรวงสวรรค์ ที่ขาวใสดุจน้ำนมและหอมหวานดั่งน้ำผึ้ง มีบ้านเป็นที่พำนักที่ได้ตระเตรียมไว้สำหรับพวกเขาทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัซซอฟฟุ โองการที่ 12 ว่า
وَيُدْخِلْكُمْ جَنَّاتٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهَا الْأَنْهَارُ وَمَسَاكِنَ طَيِّبَةً فِي جَنَّاتِ عَدْنٍ ذَلِكَ الْفَوْزُ الْعَظِيمُ
“และพระองค์ทรงบันดาลให้พวกเจ้าเข้าสวรรค์ ซึ่งมีธารน้ำหลากสายไหลผ่าน ณ เบื้องใต้ของมัน พร้อมทั้งมีที่พำนักอันยอดเยี่ยมในสวรรค์อันนิรันดร์