อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 15]คำสอนเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี อ. บุรุษที่โลกรอคอย
  • ชื่อ: อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 15]คำสอนเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี อ. บุรุษที่โลกรอคอย
  • นักเขียน:
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 7:19:7 2-9-1403

อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 15]คำสอนเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี อ. บุรุษที่โลกรอคอย


โดย เชคอันศอร เหล็มปาน

เมื่อก่อนมีนักเขียนบางท่านของชาวซุนนะห์กล่าวว่า “สาเหตุที่ชีอะฮ์ต้องสร้างแนวคิดเกี่ยวกับอิมามที่หายตัวไปว่า จะมาปลดปล่อยพวกเขานั้น ก็เพราะเขาได้ประสบกับนักปกครองที่อธรรมเป็นจำนวนมาก ตลอดมาหลายยุคสมัย ดังนั้น พวกเขาจึงปลอบใจตัวเองด้วยการให้ความมั่นใจอย่างหนึ่ง กับ อัล-มะฮ์ดี ผู้ถูกรอคอย ซึ่งจะมาทำให้แผ่นดินมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรม แล้วเขาจะมาแก้แค้นต่อศัตรูของพวกเขา”

แต่นับจากมีการปฏิวัติอิสลามในอีหร่าน ได้มีการพูดถึงเรื่อง “อัล-มะฮฺดี” บุรุษที่โลกรอคอยกันมาก เพราะกลุ่มพิทักษ์การปฏิวัติได้ถือเป็นคำขวัญที่สำคัญในการประกาศของพวกเขาว่า :
“ขอให้อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงพิทักษ์ปกป้องรัฐอิสลามแห่งอิหร่านจนกว่าอิมามมะฮ์ดี อ. จะมาปรากฏ”

จึงทำให้บรรดาชาวมุสลิม โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวปัญญาชนทุกหนแห่งพากันถามถึงความจริงของ “อัล-มะฮฺดี” ว่ามันเป็นความจริง และมีอยู่ในหลักความเชื่อของอิสลามจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาจากชาวชีอะฮ์

 

 

อิสลามเบื้องต้น [บทที่ 15]คำสอนเกี่ยวกับท่านอิมามมะฮ์ดี อ. บุรุษที่โลกรอคอย

มีคนบางกลุ่มปฎิเสธเรื่องราวของ “อัล-มะฮ์ดี” และบอกว่า เรื่องราวของท่านอิมามมะฮ์ดี อ. เรื่องแห่งการปฎิวัติโลก เป็นเรื่องงมงาย เป็นนิยายปรัมปราที่ถูกแต่งขึ้นโดยคนบางกลุ่ม เพราะมิเช่นนั้นแล้ว หากเป็นเรื่องที่สำคัญของศาสนาจริงๆ คงต้องมีปรากฎอยู่ในอัลกรุอ่านอย่างแน่นอน

เพื่อเป็นการโต้ตอบในรูปแบบที่สวยงาม ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอนำเสนอ อายะฮ์อัลกุรอ่าน ที่กล่าวถึงเรื่องราวของท่านอิมามมะฮ์ดี อ. และลองมาดูกันซิว่า อัลกุรอ่านกล่าวถึง “มหาบุรุษที่โลกรอคอย” ไว้อย่างไร

อัล-มะฮ์ดี อ. ที่ระบุไว้ในอัลกุรอ่าน
โองการที่ 55 ของซูเราะห์ อัลนูร อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงตรัสว่า :

وَعَدَ اللهُ الَّذينَ آمَنُوا مِنْكُمْ وَ عَمِلُوا الصّالحاتِ لَيسْتَخْلِفَنَّهُمْ فى الاَرْضِ كَما اسْتَخْلَفَ الَّذينَ مِنْ قَبْلِهِمْ وَ لَيُمَكِّنَنَّ لَهُمْ دِينَهُمُ الَّذى ارْتَضى لهُمْ وَ لَيُبَدِّلَنَّهُمْ مِنْ بَعْدِ خَوْفِهِمْ اَمْناً يَعْبُدُونَنى لايُشْرِكُونَ بى شَيْئاً وَ مَنْ كَفَرَ بَعْدَ ذلِكَ فَاُولئِكَ هُمُ الْفاسِقُونَ ؛

{24:55} อัลลอฮ์ทรงสัญญาไว้กับบรรดาผู้มีศรัทธาในหมู่พวกเจ้า และบรรดาผู้กระทำความดีทั้งหลายว่า พระองค์จะทรงแต่งตั้งให้พวกเขาเป็นผู้ปกครองบนหน้าแผ่นดิน ดั่งเช่นที่พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งบางคนก่อนหน้าพวกเขาให้เป็นผู้ปกครอง และพระองค์จะทรงทำให้ศาสนาของพวกเขามีรากฐานมั่งคงสำหรับพวกเขา ซึ่งพระองค์ทรงพอพระทัย และพระองค์ทรงเปลี่ยนภาวะหลังความกลัวของพวกเขาให้เป็นความรู้สึกปลอดภัย พวกเขาเคารพภักดีข้า ไม่ตั้งภาคีต่อข้า ผู้ใดปฎิเสธภายหลังจากนั้น พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ละเมิด

อายะฮ์นี้ยืนยันชัดเจนถึงพันธะสัญญาของอัลลอฮ์ที่ให้ไว้แก่ผู้ศรัทธาว่า “และแล้ววันหนึ่ง พระองค์อัลลอฮ์จะให้การปกครองโลกอยู่ในมือของผู้ศรัทธาอย่างแน่นอน เมื่อนั้นโลกจะพบกับความยุติธรรม ความปลอดภัย และความสงบสุข และมนุษย์จะเคารพภักดีอัลลอฮ์โดยดุษฎี และการตั้งภาคีก็จะอันตรธานไปในที่สุด”

ท่านอิมามศอดิก อ. ได้กล่าวไว้ในริวายะฮ์หนึ่งว่า

إنَّهُ لَم يَجِئ تَأويلُ هذِهِ الآيَةِ ، ولَو قَد قامَ قائِمُنا بَعدَهُ سَيَرى مَن يُدرِكُهُ ما يَكونُ مِن تَأويلِ هذِهِ الآيَةِ، ولَيَبلُغَنَّ دينُ مُحَمَّدٍ صلي الله عليه و آله ما بَلَغَ اللَّيلُ حَتّى لا يَكونَ شِركٌ (مُشرِكٌ ـ خ ل) عَلى ظَهرِ الأَرضِ
เวลาของการตีความ(และการมาของเจ้าของที่แท้จริง ที่กล่าวไว้)ในอายะฮ์นี้ ยังมาไม่ถึง และหลังการปฎิวัติโลกของ กออิม(อิมามมะฮ์ดี อ.)ของเรา ผู้ที่ได้สัมผัสเขา(ผู้คนที่อยู่ในวันที่อิมามมะฮ์ดีปรากฏกาย)ในวันนั้น พวกเขาจะได้เข้าใจถึงความหมายของ โองการนี้ ว่า(พันธะสัญญาของอัลลอฮ์ที่ให้ไว้)เป็นเช่นไร และศาสนาแห่งมุฮัมมะดีอ์ ก็จะแผ่ปกคลุมโลกก่อนจะพลบค่ำ(เป็นอย่างไร)จนกระทั่งร่องรอยของการตั้งภาคีไม่หลงเหลือให้เห็นอีกเลย
ในหนังสือตัฟซีร(อรรถาธิบายอัลกุรอ่าน) รูฮ์ฮุล มะอานีย์ ได้รายงานจากท่านอิมามซัยนุลอะบีดีน อ. ว่า
هُمْ وَ اللهِ شِيْعَتُنا اَهْلَ الْبَيْتِ يُفْعَلُ ذلِكَ بِهِمْ عَلى يَدِ رَجُل مِنّا وَ هُوَ مَهْدِىُّ هذِهِ الاُمَّةِ وَ هُوَ الَّذى قالَ رَسُوْلُ اللهِ(صلى الله عليه وآله) فيه لَوْ لَمْ‌يَبْقَ مِنَ الدُّنْيا اِلاّ يَوْمٌ واحِدٌ لَطَوَّلَ اللهُ تَعالى ذلِكَ الْيَوْمَ حَتّى يَلِىَ رَجُلٌ مِنْ عِتْرَتى اِسْمُهُ اِسْمى يَمْلَأُ الاَرْضَ عَدْلا وَ قِسْطاً كَما مُلِئَتْ ظُلْماً وَ جَوْراً؛
روح المعانى فى تفسير القرآن العظيم، آلوسى، سيد محمود، تحقيق: على عبدالبارى عطيه، دارالكتب العلميه، بيروت، 1415 ق
พวกเขาเหล่านั้น สาบานต่ออัลลอฮ์ คือชีอะห์ของพวกเรา พระองค์จะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยกับมือของชายผู้หนึ่งจากเรา(อะห์ลุลบัยต์) เขาคือ มะฮ์ดี แห่งประชาชาตินี้ เขาคือบุคคลที่ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ. กล่าวถึงเขาไว้ว่า หากดุนยาแห่งนี้จะไม่เหลือเวลาอีกแล้ว นอกจากเพียงวันเดียว อัลลอฮฺ ก็จะทรงให้วันนั้นยาว เพื่อที่พระองค์จะทรงส่งคนหนึ่งจากวงศ์วานของ ฉัน หรือจากครอบครัวของฉัน ชื่อของเขา จะตรงกับชื่อของฉัน เขาจะมาสร้างความยุติธรรมให้เต็มผืน แผ่นดินนี้ ดังที่แผ่นดินนี้ได้เต็มไปด้วยความอธรรมและการข่มเหง”
อัล-มะฮ์ดี อ. ที่ระบุไว้ในซุนนะห์
ในการวิเคราะห์ส่วนนี้ ทั้งมุสลิมชาวชีอะฮ์และมุสลิมชาวซุนนี่ห์ มีความเชื่อตรงกันว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ.ได้แจ้งข่าวดีในเรื่องนี้ และสอนให้ศ่อฮาบะฮฺรู้ว่าอัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงให้เขาปรากฏในยุคสุดท้าย

ฮะดีษเกี่ยวกับ “อัล-มะฮ์ดี” ได้ถูกรายงานไว้โดยทุกฝ่าย ทั้งชีอะฮ์และซุนนะฮ์ ในตำราศ่อฮีฮ์ของพวกเขา และมุซนัดของพวกเขา ดังที่มีรายงานใน “ซุนัน” ของอะบูดาวูด ดังนี้

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ (صلى الله عليه وآله وسلم): لَوْ لَمْ يَبْقَ مِنَ الدُّنْيَا إِلا يَوْمٌ، لَطَوَّلَ اللَّهُ ذَلِكَ الْيَوْمَ، حَتَّى يَبْعَثَ اللَّهُ فِيهِ رَجُلا مِنِّي، أَوْ مِنْ أَهْلِي أَهْلِ بَيْتِي، يُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِي، وَاسْمُ أَبِيهِ اسْمَ أَبِي يَمْلَأُ بِهَا الأرض قسطاً وعدلاً كَمَا مُلِئَتْ ظلماً جَوْرًا

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า :
“หากโลกนี้จะไม่คงอยู่อีกแล้ว นอกจากเพียงวันเดียว แน่นอน อัลลอฮ์ ซ.บ. จะทรงยืดเวลาวันนั้นให้นาน เพื่อพระองค์จะส่งชายคนหนึ่งจากอะฮ์ลุลบัยต์ อ. ของฉันมา ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อฉัน ชื่อบิดาของเขาจะตรงกับชื่อของบิดาของฉัน เขาจะมาทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความเป็นธรรมและยุติธรรม เหมือนอย่างที่ความอธรรม และความชั่วเคยเต็มมาก่อน” (“ซุนันอะบูดาวูด” เล่ม 2 หน้า 422)

มีรายงานใน “ซุนัน อิบนุ มาญะฮ์ ว่าท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. กล่าวว่า

إنّا أهْلُ بَيْتٍ اخْتَارَ اللهُ لَنَا الآخِرَةَ علَى الدُّنْيا، وإِنَّ أهْلَ بَيْتي هؤلاءِ سَيُقْتَلُونَ (سَيَلْقَوْنَ) بَعْدي بَلاءً وَتَطْريداً وَتَشْريداً، حَتّى يَأْتِيَ قَوْمٌ مِنْ ها هُنا، مِنْ نَحْوِ المَشْرِقِ، أَصْحاب راياتٍ سُودٍ، يَسْأَلُونَ الحَقَّ فَلا يُعْطَوْنَهُ، مرَّتَيْنِ أو ثلاثاً، فَيُقاتِلونَ فَيُنْصَرُونَ، فَيُعْطَوْنَ مَا سَألُوا فلا يَقْبَلُوها حَتّى يَدْفَعُوها إلى رَجُلٍ مِن أهْلِ بَيْتي، فَيَمْلَؤُها عَدْلاً كَما مَلَؤوها ظُلْماً،

“แท้จริงพวกเรา อะฮฺลุลบัยต์ อัลลอฮ์ ซ.บ. ทรงคัดเลือกปรโลกให้แก่พวกเราเหนือกว่าโลกนี้ และแท้จริงอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันจะประสบการทดสอบอย่างรุนแรงภายหลังจากฉันจะถูกขับไล่ จนกระทั่งจะมีคนพวกหนึ่งจากทางตะวันออกมาพร้อมกับถือธงดำ พวกเขาจะถามหาสัจธรรม แต่พวกเขาไม่ได้รับสัจธรรมนั้น ถึงสองครั้งหรือสามครั้ง แล้วพวกเขาก็ต่อสู้จนได้ชัยชนะ พวกเขาจึงได้รับสิ่งที่พวกเขาถามหา แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับ จนกระทั่งพวกเขามุ่งไปหาชายคนหนึ่งจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ซึ่งเขาจะทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม เหมือนที่ความอธรรมเคยเต็มมาก่อน”(ซุนันอิบนุมาญะฮฺ” เล่ม 2 เลขฮะดีษ 4082,4087)

ท่านอิบนุมาญะฮฺ ได้กล่าวใน “ซุนัน เล่ม 2 เลขฮะดิษ 4085,4086 รายงานจากท่านหญิงอุมมุซะลามะฮ์ว่า : ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์กล่าวว่า

عَنْ أُمِّ سَلَمَةَ -رضي الله عنها- قَالَتْ: سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ -صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ- يَقُولُ: الْمَهْدِيُّ مِنْ عِتْرَتِي مِنْ وَلَدِ فَاطِمَةَ

“อัล-มะฮฺดี มาจากเรา อะฮฺลุลบัยต์ อัล-มะฮ์ดี มาจากลูกหลานของฟาฏิมะฮฺ”

และท่านนบี ศ. ได้กล่าวว่า

يَكُونُ فِي أُمَّتِي الْمَهْدِيُّ إِنْ قَصَّرَ فَسَبْعٌ وَإِلَّا فَتِسْعٌ، تَنْعَمُ أُمَّتِي فِيهِ نِعْمَةً لَمْ يَنْعَمُوا مِثْلَهَا قَطُّ، تُؤْتِي الْأَرْضُ أُكُلَهَا لَا تَدَّخِرُ عَنْهُمْ شَيْئًا، وَالْمَالُ يَوْمَئِذٍ كُدُوسٌ يَقُومُ الرَّجُلُ فَيَقُولُ: يَا مَهْدِيُّ أَعْطِنِي، فَيَقُولُ: خُذْ

“ในประชาชาติของฉันจะมีอัล-มะฮฺดี หากว่าใช้เวลาน้อย(ในการปกครอง) ก็เจ็ดปี ถ้าไม่เช่นนั้นก็เก้าปี นอกจากนี้ เขาจะทำให้ประชาชาติของฉันได้รับความโปรดปราน ชนิดที่ไม่เคยได้รับมาก่อน การบริโภคจะมีมาพรั่งพร้อม ทรัพย์สินในวันนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถึงขนาดว่าถ้าชายคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า โอ้ มะฮฺดี โปรดให้ข้าพเจ้าเถิด เขาจะกล่าวว่า จงรับเอาไป”(ซุนันอิบนุมาญะฮฺ” เล่ม 2 เลขฮะดีษ 4086)

ในซุนันติรมีซีระบุว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ศ. ได้กล่าวว่า

قال رسول اللّه (صلى الله عليه وآله وسلم): يلي رجلٌ من أهلِ بَيتي يواطئُ اسمُهُ اسمي، و لو لم يبقَ منَ الدُّنيا إلَّا يومٌ لطوَّلَ اللَّهُ ذلِكَ اليومَ حتَّى يلي

“จะมีชายคนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยตฺของฉันมาปรากฏ ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน และแม้นว่า โลกนี้จะไม่คงเหลืออยู่ต่อไปอีก นอกจากวันเดียว แน่นอนอัลลอฮ์ ซ.บ. จะยืดวันนั้นให้นานจนกระทั่งเขาจะมาปรากฏ”(อัลญามิอุศศอฮีฮฺ” ของติรมิซี เล่ม 9 หน้า 74-75)

อิมามบุคอรี ได้รายงานในศ่อฮีฮฺของท่าน ว่า บินบะกีรได้เล่าเราว่า “อัล-ลัยษ์” รับรายงานมาจากยูนุซรับรายงานมาจากอิบนุชิอาบ จากท่านนาฟิอฺ คนใช้ของอะบี เกาะตาดะฮฺ อัล-อันศอร กล่าวว่า ท่านอะบูฮุร็อยเราะฮ์ รายงานว่า :

أَنَّ أَبَا هُرَيْرَةَ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ” كَيْفَ أَنْتُمْ إِذَا نَزَلَ ابْنُ مَرْيَمَ فِيكُمْ ، وَإِمَامُكُمْ مِنْكُمْ

ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ กล่าวว่า “พวกท่านจะรู้สึกอย่างไร ถ้าหากว่าบุตรของมัรยัมจะลงมาในหมู่พวกท่าน และอิมามของพวกท่านมาจากพวกท่านเอง”(ศ่อฮีฮฺบุคอรี” เล่ม 4 หน้า 143 บทว่าด้วย การเสด็จลงมาของอีซา บุตรมัรยัม)

ท่านฮาฟิซกล่าวไว้ใน “ฟัตฮุล-บารี” ว่า :

قال الحافظ في فتح الباري: تَوَاتَرَتْ الْأَخْبَار بِأَنَّ الْمَهْدِيّ مِنْ هَذِهِ الْأُمَّة وَأَنَّ عِيسَى يُصَلِّي خَلْفه

“สารบบสายรายงานถือว่าอยู่ในระดับมุตะวาตีรในเรื่องที่ว่า “อัล-มะฮฺดี” จากประชาชาตินี้ และอีซา บุตรมัรยัมจะลงมา และจะนมาซตามหลังเขา”(ฟัตฮุล-บารี” เล่ม 5 หน้า 362)

อิบนุฮะญัร อัล-ฮัยษุมี ได้กล่าวไว้ใน “อัศ-ศ่อวาอิก” ว่า :

وقال ابن حجر الهيثمي في الصواعق المحرقة: “والأحاديث التي جاء فيها ذكر ظهور المهدي كثيرة متواترة

“ฮะดีษที่กล่าวถึงเรื่องการมาปรากฏของ “อัล-มะฮฺดี” นั้น สอดคล้องตรงกันมาก(ฮะดิษนี้)อยู่ในขั้นมุตะวาตีร”(อัศศอวาอิกุ้ล-มุฮัรร่อเกาะฮฺ” ของอิบนุฮะญัร เล่ม 2 หน้า 211)

เจ้าของหนังสือ “ฆอยะตุล –มะมูล” กล่าวว่า :

اشتهر بين العلماء سلفاً وخلفاً أنّه لابدّ من ظهور رجل من أهل البيت في آخر الزمان يسمّى المهدي، وقد روى أحاديث المهدي جماعة من خيار الصحابة، وخرّجها أكابر المحدّثين: كأبي داود، والترمذي، وابن ماجة، والطبراني، وأبي يعلى، والبزاز، والإمام أحمد بن حنبل، والحاكم رضي اللّه عنهم أجمعين، ولقد أخطأ من ضعّف أحاديث المهدي كلّها

“เป็นที่รู้กันอยู่ในระหว่างอุละมาอฺ รุ่นซะลัฟ(บรรพชน) และรุ่นเคาะลัฟ(รุ่นถัดมา)ว่า แน่นอน การมาปรากฏของชายคนหนึ่งจากอะฮฺลุลบัยต์ อ. นั้นจะ ต้องมีขึ้นในยุคสุดท้าย ชื่อว่า “อัล-มะฮฺดี” รายงานฮะดีษเรื่อง “อัล-มะฮ์ดี” ได้ถูกบันทึกมาโดยศ่อฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติกลุ่มหนึ่ง และนำมาบันทึกโดยนักฮะดีษระดับอาวุโส (เช่น อะบูดาวูด, ติรมีซี, อิบนุมาญะฮฺ ฏ็อบรอนี, อะบียะอฺลา, ท่านบัซซาซ, อิมามอะฮฺมัด บินฮัมบัล ,ท่านฮากิม และ…) แน่นอน คนที่ถือว่าฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องอัล-มะฮฺดีอ่อนต่อหลักฐาน ถือว่า มีความเข้าใจผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง”