ข้อเท็จจริงการเกิดขึ้นของกลุ่มแนวคิดอะฮฺมัด บินฮะซัน ที่อ้างตนว่าเป็นซัยยิดยะมานี
หนึ่งในวิธีการของตะวันตกและลัทธิไซออนิสต์ในการครอบงำทางด้านการเมืองและศาสนาในประเทศอิสลามทั้งหลาย นั่นคือการสร้างความแตกแยกและการสร้างกระแสและกลุ่มเบี่ยงเบนต่างๆ ทางศาสนา ในบทความสั้นๆ นี้พยายามที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้โดยสังเขปเกี่ยวกับกลุ่มแนวคิดเบี่ยงเบนกลุ่มหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นในประเทศอิรัก และถ้ามีโอกาสจะได้นำเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในช่วงหลายปีมานี้ มีบุคคลผู้หนึ่งในอิรักได้อ้างตนเองว่าเป็น “ซัยยิดยะมานี” ที่ถูกสัญญาไว้ในคำรายงานต่างๆ เขาได้กล่าวอ้างว่าเป็นตัวแทน (นาอิบ) เป็นบุตรชายของท่าน
อิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) และถูกส่งมาจากท่านเพื่อที่จะทำให้ชาวมุสลิมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันและสร้างเอกภาพให้เกิดขึ้นในสังคม โดยอาศัยการปราศรัยและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ของตน เขาสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาเป็นสาวกและผู้ปฏิบัติตาม ส่วนหนึ่งจากสาวกหรือไพร่พลของเขาที่สามารถยกตัวอย่างให้เห็นได้ในที่นี้คือ “อับดุลลอฮ์ ฮาชิม” ผู้อำนวยการและผู้ผลิตสารคดีเกี่ยวกับการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ที่มีชื่อว่า “The Arrivales”
กลุ่มแนวคิด “ซัยยิดอะห์มัด บินฮะซัน อัลยะมานี” ได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงปลายสมัยการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน และได้รับการสนับสนุนจากกากเดนชั้นแนวหน้าของพรรคบาธแห่งอิรัก เขาได้จัดตั้งองค์กรต่างๆ ของตนขึ้นในพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่นในจังหวัดนะญัฟ กัรบะลา นาศิรียะฮ์ และบัศเราะฮ์ ผู้วางรากฐานของกลุ่มนี้ คือบุคคลผู้มีนามว่า “อะห์มัด อิสมาอีล กอเฏี๊ยะอ์” ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1973 ในเมือง “ซุบัยร์” ของจังหวัดบัศเราะฮ์ ในปี 1999 เขาได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ของเมืองบัศเราะฮ์ และได้เข้าศึกษาวิชาการศาสนาอยู่ในสถาบันการศึกษาศาสนา “ชะฮีดซัยยิดมุฮัมมัดบากิร อัลอัศศ็อดร์” ในเมืองนะญัฟ อัลอัชร็อฟ เป็นระยะเวลาหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ “ซัยยิด” และวงศ์ตระกูลของเขามาจากเผ่าซอยามิร แต่เขาก็ได้โพกอะมามะฮ์ (ผ้าพันศีรษะ) สีดำ และกล่าวอ้างตนว่าเป็น “ซัยยิด” (เชื้อสายท่านศาสดา) เป็นสิ่งที่ดีที่เดียวที่ท่านทั้งหลายจะรับรู้ไว้ว่า พี่ชายของเขาคือสมาชิกคนหนึ่งของกองกำลังของพรรคพาธ สัญลักษณ์ของเขาคือ “ดาวเดวิดหกแฉก” และสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้จะพบเห็นได้ในคำประกาศแถลงการณ์และเอกสารต่างๆ ทั้งหมดของเขาซึ่งถูกใช้ในฐานะตราสัญลักษณ์และตราประทับ ประเด็นที่น่าสนใจที่ควรรับรู้ก็คือว่า ดาวดังกล่าวนี้ได้ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์ของ “อับดุลลอฮ์ ฮาชิม” และทำนองเดียวกันนี้ ปรากฏอยู่บนธงชาติของอิสราเอลด้วย
ดังที่เราได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เขาไม่ใช่ “ซัยยิด” และสายตระกูลของเขามาจากเผ่าซอยามิร แต่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงนี้เขากลับสวมใส่อะมามะฮ์ (ผ้าพันศีรษะ) สีดำ และปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนในที่ต่างๆ จากท่วงทำนองของคำพูดของเขาก็เป็นที่เปิดเผยอย่างชัดเจนว่า เขามีความรู้ในด้านนิติศาสตร์อิสลาม (ฟิกฮ์) ในระดับที่ต่ำมาก และหากท่านทั้งหลายได้ติดตามคำบรรยายและคำปราศรัยต่างๆ ของเขาก็จะได้บทสรุปว่า การพูดด้วยภาษาอาหรับที่สุภาพ (ฟะเซี๊ยะห์) จะเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา ในท่ามกลางคำพูดและคำกล่าวอ้างต่างๆ ของเขา ก็จะพบเห็นความขัดแย้งกันเองอย่างมากมาย
ในขณะที่เขากล่าวอ้างตนว่าเป็นบุคคลที่เรียบง่าย ไม่หรูหราฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่เรียบง่ายและเป็นคนยากจน แต่ขณะเดียวกันเขากลับกล่าวอ้างตนว่าเป็นบ่อเกิดแห่งความเมตตา (เราะห์มัต) สำหรับอิสลามและประชาชาติมุสลิม เป็นผู้ได้รับการสนับสนุนโดยญิบรออีลและมีกาอีล อะฮ์ลุลบัยติ์ (อ.) อยู่กับเขาตลอดเวลา และพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงคัดเลือกเขา เพื่อทำหน้าที่สร้างความเป็นหนึ่งเดียว (วะฮ์ดะฮ์) ให้เกิดขึ้นในหมู่ชาวมุสลิม และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดเผยข้อเท็จจริงต่างๆ แก่บุคคลทั้งมวล เขาได้กล่าวอ้างคำกล่าวอ้างครั้งแรกของตนผ่านเว็บไซต์ของเขา โดยประกาศกับบรรดาอุละมาอ์ (นักวิชาการศาสนา) และสถาบันศาสนาต่างๆ ในวันที่ 27 เดือนเชาวาล ปี ฮ.ศ. 1424 มีใจความดังต่อไปนี้
ในขั้นแรกเขาได้กล่าวอ้างว่า เขาได้ฝันเห็นท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) หลายครั้งในฮะรัม (สถานฝังศพ) ของซัยยิดมุฮัมมัด บุตรชายของท่านอิมามฮาดีย์ (อ.) โดยที่ท่านได้ออกคำสั่งให้เขาไปซิยาเราะฮ์ฮะรัมอัซกะรียัยน์ (สถานฝังศพของท่านอิมามฮาดีย์และท่านอิมามฮะซัน อัซกะรีย์) ต่อจากนั้นเขาได้ประสบความสำเร็จในการพบกับท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในโลกแห่งความจริง (โดยไม่ได้หลับฝัน) และท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.) ได้บอกให้เขารับรู้เกี่ยวกับความเบี่ยงเบนทางด้านวิชาการศาสนาและการทุจริตทางด้านการเงินในสถาบันการศึกษาศาสนาทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถาบันการศึกษาศาสนา (เฮาซะฮ์ อิลมียะฮ์) แห่งเมืองนะญัฟ อัลอัชร็อฟ และท่านได้ให้การอบรมสั่งสอนและการศึกษาพิเศษแก่เขา
ในขั้นที่สองเขาได้กล่าวอ้างว่า ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ได้บัญชาให้เขาเข้าสู่แวดวงของสถาบันการศึกษาศาสนาต่างๆ และสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคคลทั้งหลายเกี่ยวกับความเบี่ยงเบนเหล่านั้น และคำกล่าวอ้างในขั้นตอนที่สามของเขาก็คือ ในเดือนชะอ์บาน ปี ฮ.ศ. 1420 เขาได้เห็นท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) เป็นครั้งที่สอง ในขณะตื่น (ไม่ได้หลับฝัน) และเขาได้เดินทางสู่เมืองนะญัฟ อัลอัชร็อฟ ตามคำสั่งของท่านอิมาม (อ.ญ.) และประกาศเชิญชวนในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตนเองอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน และในขั้นสุดท้ายเขาได้กล่าวอ้างตนว่า เป็นบุตรชายของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) และเป็นวะซีย์ (ตัวแทน) ของท่าน และเป็นซัยยิดยะมานี ที่ถูกสัญญาไว้ในคำรายงาน (ริวายะฮ์) ทั้งหลาย!!!
ในสภาพการณ์เช่นนี้เอง นักวิชาการศาสนาบางท่านและประชาชนได้ถือว่าเขาคือพวกมุสา (กัซซาบ) จึงทำให้เขาจำเป็นต้องเดินทางกลับสู่เมืองของตน ภายหลังจากการถูกโค่นล้มของซัดดัม ฮุเซน ในปี ฮ.ศ. 1424 “อะห์มัด อิสมาอีล กอเฎี๊ยะฮ์” จึงได้เริ่มต้นการประกาศเชิญชวนของตนเองอีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้สามารถทำให้ผู้คนจำนวนหนึ่งมาเป็นสาวก (ผู้ปฏิบัติตามแนวคิด) ของตนได้ ในเดือนรอมฏอนของปีเดียวกันนั้น เขาได้กล่าวอ้างว่า ได้รับบัญชาจากท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ให้สร้างความเป็นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันให้แก่ประชาชนชาวโลก และเรียกร้องประชาชนทั้งมวลสู่การยืนหยัดต่อสู้กับบรรดาผู้กดขี่
เขาได้พูดอย่างชัดเจนในสาส์นดังกล่าวว่า เขาไม่คาดหวังการช่วยเหลือจากอุละมาอ์ (บรรดานักวิชาการศาสนา) ทั้งนี้เนื่องจากว่า คนเหล่านี้ในด้านในแล้วพวกเขาเป็นศัตรูกับท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) และจุดประสงค์จากคำว่า เจว็ดและรูปเคารพ (อัศนาม) นั้นก็คือ อุละมาอ์ (บรรดานักวิชาการศาสนา) นั่นเอง สามารถกล่าวได้ว่า สาเหตุความเกลียดชังและความเป็นศัตรูของเขาต่ออุละมาอ์ (บรรดานักวิชาการศาสนา) ของชีอะฮ์นั้น ก็เนื่องมาจากว่าอุละมาอ์เหล่านี้นี่เองที่สามารถเปิดโปงความมดเท็จของพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงดำเนินการดังกล่าวอย่างไม่ลดละ จากการพิสูจน์และการยืนยันถึงคำกล่าวอ้างต่างๆ ของเขานั้น เขาได้อ้างหลักฐานต่างๆ ซึ่งจะขอชี้ให้เห็นบางส่วนต่อไปนี้คือ
หลักฐานประการแรก : ความฝันต่างๆ ที่บุคคลจำนวนหนึ่งหลับฝันเห็นเขา ประกอบกับความฝันต่างๆ ที่ตัวเขาเองฝันเห็น
หลักฐานประการที่สอง : คำพยากรณ์และการบอกข่าวเกี่ยวกับอนาคต อย่างเช่น การถูกโค่นอำนาจของซัดดัม ฮุสเซน
หลักฐานประการที่สาม : มีความพร้อมที่จะโต้วาทีและถกเถียงกับบรรดานักวิชาการทั้งอิสลาม คริสต์และยูดาย หากเขาเป็นนักโต้วาทีและถกเถียงทางด้านวิชาการจริงแล้ว และตามที่บางคนกล่าวว่า เขาได้เรียกร้องเชิญชวน (ท้า) แม้กระทั่งท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี ไปสู่การถกเถียงและการโต้วาทีกับเขา แต่ไฉนเขาจึงไม่กล้าถกเถียงกับท่านอายะตุลลอฮ์ซิซตานี? ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กับเขามากกว่า!!!
หลักฐานประการที่สี่ : ความพร้อมของเขาที่จะทำการมุบาฮะละฮ์ (วิงวอนขอให้พระเจ้าลงโทษฝ่ายที่เป็นเท็จ) กับอุละมาอ์อิสลามทั้งชีอะฮ์และซุนนี และกับนักวิชาการของศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ หลักฐานต่างๆ ที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของเขาเท่านั้น แม้ความฝันนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ในอะห์กาม (บทบัญญัติต่างๆ) ของอิสลาม ไม่ถือเป็นหลักฐาน (ฮุจญะฮ์) ทางศาสนบัญญัติได้เลย
ในคำปราศรัย (คุฏบะฮ์) ที่เขาได้พูดกับประชาชนชาวอิรัก เขากล่าวเช่นนี้ว่า “อิมามซะมาน (อ.ญ.) บิดาของฉันได้ส่งฉันมายังชาวโลก และฉันได้เริ่มต้นการเรียกร้องเชิญชวน (ดะอ์วะฮ์) ของฉันในหมู่พวกท่านแล้ว ญิบรออีลและมีกาอีลได้ให้การสนับสนุนฉัน ถ้าพวกท่านยอมรับฉันและปฏิบัติตามฉัน ก็จะเป็นการดีกับตัวพวกท่านเอง และหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วฉันก็จะอดทน เช่นเดียวกับที่มุสลิม บินอะกีลได้อดทน และฉันจะไปจากพวกท่าน และฉันจะนำเรื่องราวของพวกท่านไปบอกกล่าวแก่ “มุฮัมมัด บินฮะซัน” บิดาของฉัน และพวกท่านพึงรู้เถิดว่า ภายหลังจากนี้แล้วจะไม่มีสิ่งใดที่ถูกนำเสนอแก่พวกท่านอีก นอกเสียจากดาบ แล้วฉันและบิดาของฉันจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง”
เขาได้ให้เหตุผลความเป็น “ซัยยิดยะมะนี” ของตนเองไว้ในเว็บไซต์ “อันซอรุ้ลมะฮ์ดี” ไว้เช่นนี้ว่า : “มักกะฮ์เป็นส่วนหนึ่งจากตะมามะฮ์ และตะฮามะฮ์เป็นส่วนหนึ่งจากเยเมน ดังนั้นวงศ์วานของมุฮัมมัดทั้งหมดคือ ยะมะนี”
เขาได้อ้างถึงฮะดีษจำนวนหนึ่งที่กล่าวสรรเสริญซัยยิดยะมะนีไว้ และได้เทียบเคียงประเด็นที่ว่า ธงของซัยยิดยะมะนีนั้นเป็นธงที่ให้การชี้นำ (ฮิดายะฮ์) ที่ชัดเจนกว่าธงอื่นทั้งหมด เข้ากับตัวเขาเอง และในขณะเดียวกัน ยังได้กล่าวอ้าง “อิศมะฮ์” (ความเป็นผู้บริสุทธิ์จากบาป) ของตนอีกด้วย เขาได้อ้างตนว่าเป็นตัวอย่าง (มิศด๊าก) หรือเป้าหมายของฮะดีษ (วจนะ) ที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้กล่าวถึงที่ว่า
ثم یکون من بعده اثنا عشر مهدیّاً فاذا حضرته الوفاة فلیسلّمها الی ابنه اول المهدییّن
“ต่อจากนั้น หลังจากเขา (อิมามมะฮ์ดี) จะมีมะฮ์ดีอีกสิบสองคน โดยที่เมื่อความตายได้มาถึงเขา (อิมามมะฮ์ดี) เขาจะมอบมัน (อำนาจการปกครอง) ให้แก่ลูกชายของเขา
ผู้เป็นมะฮ์ดีคนแรก”
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่เขากล่าวอ้างว่า มะฮ์ดีคนแรกนั้นคือตัวเขาเอง และเขาคือบุตรชายและเป็นวะซีย์ (ผู้สืบทอด) ของอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ในขณะที่จนถึงตอนนี้
ท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) ยังไม่ได้ปรากฏกาย (ซุฮูร) เลย และท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทว่าวะซีย์ (ผู้สืบทอด) ของท่านกลับปรากฏตัวขึ้นมาก่อนแล้ว กระแสกลุ่มดังกล่าวนี้ให้ความสำคัญต่อการโฆษณาชวนเชื่อเป็นอย่างมาก โดยที่นับจากช่วงเริ่มแรกของการปรากฏขึ้นของกลุ่มนี้ พวกเขาได้ดำเนินการอย่างจริงจังในการโฆษณาชวนเชื่อและเผยแพร่ความเชื่อต่างๆ ของตน พวกเขาสามารถดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาเป็นผู้ปฏิบัติตามกลุ่มของตนเองได้โดยอาศัยการพิมพ์หนังสือ นิตยสารและเอกสารต่างๆ ด้วยชื่อต่างๆ ที่สวยหรูและดึงดูดใจ
ตัวอย่างของชื่อหนังสือและนิตยสารเหล่านั้นได้แก่ กอมัร บนีฮาชิม, อำนาจการปกครองของพระเจ้า ไม่ใช่อำนาจการปกครองประชาขน, คำเตือนยังอุละมาอ์ของสถาบันศาสนาทั้งหลาย, การดลใจและคำพยากรณ์ต่างๆ เป็นต้น ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ บรรดาผู้สนับสนุนเขาในสาส์นฉบับหนึ่งที่ส่งถึงท่านอายะตุลลอฮ์คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ในเดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 1427 พวกเขาได้ประกาศหลักฐานต่างๆ ที่แสดงถึงความสัจจริงของบุคคลผู้นี้ และได้เรียกร้องเชิญชวนท่านไปสู่การให้สัตยาบัน (บัยอัต) ต่อเขา
เขาเป็นแค่เพียงผู้กล่าวอ้างตนที่มดเท็จในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) โดยที่จนถึงขณะนี้เขาได้กล่าวความเป็นบุตรชาย เป็นวะซีย์ (ผู้สืบทอด) ของท่านอิมามมะฮ์เ (อ.ญ.) ความเป็นซัยยิดและความเป็นผู้บริสุทธิ์จากบาป (มะอ์ซูม) อีกไม่นานนักเขาคงจะกล่าวอ้างสิ่งต่างๆ ที่แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีก… แต่เขาไม่ได้ให้คำตอบต่อคำถามนี้ที่ว่า หากเขาเป็นซัยยิดยะมะนีจริง ดังนั้นตามคำรายงาน (ริวายะฮ์) ต่างๆ ที่กล่าวว่า ซัยยิดยะมะนีจะเป็นผู้ถือธงแห่งการชี้นำที่ชัดเจนและเด่นชัดที่สุด แล้วไฉนธงของเขาจึงไม่ใช่ธงแห่งการชี้นำ (กล่าวคือไม่เด่นชัดและไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนโดยส่วนใหญ่)?!
เขาก็เช่นเดียวกับ “อะลี มุฮัมมัด บาบ” ที่ในยุคสมัยของ “อะมีร กะบีร” ได้กล่าวอ้างตนเป็นมะฮ์ดีและเป็นประตูของอิมามแห่งยุคสมัย เขาเป็นแค่เพียงผู้กล่าวอ้างตนที่มดเท็จ และเป็นหนึ่งในฟิตนะฮ์ (วิกฤตการณ์ที่เลวร้าย) ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนการปรากฏกาย (ซุฮูร) ของท่านอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) เท่านั้น แต่เป็นที่น่าเศร้าใจที่มีคนจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อของเขา โดยที่ในเครือข่ายทางสังคม อินเตอร์เน็ต เฟสบุค และผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทำการเผยแพร่แนวความคิดของเขา และเนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) และยุคสุดท้าย (อาคิรุซซะมาน) จึงเป็นประเด็นที่ดึงดูดความสนใจและชวนเชื่อสำหรับผู้คน
ด้วยพระมหากุรณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า ที่ทำให้เราได้รับรู้และเข้าใจถึงกระแสกลุ่มแอบอ้างตนเกี่ยวกับอิมามมะฮ์ดี (อ.ญ.) กลุ่มนี้ได้ในระดับหนึ่ง และอินชาอัลลอฮ์ (หากพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์) เราจะได้นำเสนอข้อมูลที่เป็นวิชาการเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น จุดประสงค์ของการนำเสนอบทความนี้ ก็เพื่อปูพื้นฐานให้ผู้อ่านผู้มีเกียรติได้รับรู้ถึงกระแสแนวคิดบิดเบือนของคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังแพร่มาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว และตามข้อมูลที่รับรู้มานั้นขณะนี้ได้คืบคานเข้าสู่เมืองไทยของเราแล้วเช่นกัน
ขอขอบคุณทีมข่าวเว็บไซต์ซอฮิบซะมาน