บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน) ตอนที่43
  • ชื่อ: บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน) ตอนที่43
  • นักเขียน:
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 21:37:51 1-9-1403

บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน) ตอนที่43

สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม
การแพร่ขยายจุดด้อยของมุสลิม
ในหนังสือเล่มนี้ยังได้เขียนหนทางในการแพร่ขยายจุดด้อยของมุสลิมและหนทางในการกำจัดจุดแข็งให้กลายเป็นจุดอ่อนขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งได้บอกวิธีการและเหตุผลต่างๆ ดังนี้
1. พยายามสร้างความแตกแยกให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยสร้างความระหวาดระแวงระหว่างกลุ่มที่ขัดแย้งกันและสามารถตีพิมพ์เผยแพร่หนังสือที่ดูหมิ่นเหยียดหยามระหว่างนิกายซึ่งแผนการดังกล่าวนั้นต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร
2   การแพร่ขยายความโง่เขลาและไร้การศึกษาด้วยกับการปิดสถานศึกษา จัดพิมพ์ตำราและเผาหนังสือต่างๆ เท่าที่มีความสามารถจะทำได้   อีกทั้งทำให้ประชาชนถอนตัวในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนศาสนาโดยอาศัยรูปแบบของการใส่ร้ายป้ายสีแก่นักการศาสนา ซึ่งวิธีการเหล่านี้สามารถทำให้พวกเขาคงอยู่ในสภาพที่โง่เขลาต่อไป
3-4   การคงไว้ซึ่งสภาพความโง่เขลาในหมู่พวกเขา  และใช้วิธีการสร้างภาพลักษณ์ที่สวยหรูในเรื่องราวของสวรรค์ให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาไม่มีภาระรับผิดชอบต่อการใช้ชีวิตในโลกดุนยาและด้วยการแพร่ขยายนิกาย ตะซัววุฟ อีกทั้งเผยแพร่หนังสือที่ส่งเสริมด้านจิตวิญญาณแห่งความสมถะ และไม่สนใจต่อโลกดุนยาให้เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา เช่นหนังสือ อิห์ยา อุลุม ของ ฆอซาลี  ดีวานมัษนาวี และหนังสือของอิบนี  อะรอบีย์ ซึ่งสามารถที่จะทำให้พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่ล้าหลังในด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ
5.  สร้างความแข็งแกร่งต่อการปกครองแบบเผด็จการด้วยวิธีการดังนี้
บรรดากษัตริย์ผู้ปกครองคือร่มเงาของพระองค์บนหน้าแผ่นดิน อะบูบักร์ อุมัร อุษมาน อะลี ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ และราชวงศ์อับบาซียะฮ์ ล้วนแล้วใช้อำนาจแห่งคมดาบในการได้มาซึ่งตำแหน่งและการปกครอง ซึ่งทั้งหมดคือการปกครองแบบเผด็จการ
- อบูบักร์ได้เป็นคอลีฟะฮ์ก็ด้วยอำนาจแห่งคมดาบของอุมัรที่ได้ข่มขู่และเผาบ้านของผู้ที่ไม่ยอมให้คำสัตยาบันต่ออบูบักร์เช่น บ้านของบุตรีท่านศาสดามุฮัมหมัด(ศ็อลฯ) 
- อุมัรเป็นคอลีฟะฮ์ก็ด้วยคำสั่งเสียของอะบูบักร์
- อุษมานเป็นคอลีฟะฮ์ก็ด้วยแผนคำสั่งของอุมัร
- อะลีเป็นคอลีฟะฮ์ก็ด้วยการถูกเลือกจากพวกปฏิวัติอุษมาน
- มุอาวียะฮ์เป็นคอลีฟะฮ์ก็ด้วยอำนาจของคมดาบ
- จากนั้นคอลีฟะฮ์ราชวงศ์มุอาวียะฮ์ก็ได้สืบทอดอำนาจคอลีฟะฮ์เป็นมรดกตกทอดมาด้วยอำนาจแห่งเผด็จการ
- มัรวาน ซัฟฟะห์ คอลีฟะฮ์คนแรกของราชวงศ์อับบาซียะฮ์  ก็ได้อำนาจมาด้วยคมดาบ และคนถัดมาก็ใช้รูปแบบนี้ในการสืบทอดและใช้อำนาจแบบเผด็จการ 
6. ถนนหนทางที่ไม่ปลอดภัยนั้น เราสามรถที่จะคงไว้ให้โจรมีอยู่ต่อไปและไม่ให้รัฐบาลเข้าไปตามไล่ล่าพวกโจร   มอบอาวุธให้และส่งเสริมโจรผู้ร้ายให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้นเพื่อจะได้เกิดความหวาดกลัว 
7. แพร่ขยายแนวคิดแบบกอฏอกอดัร ในหมู่มุสลิมเพื่อให้พวกเขายังคงสภาพของความล้าหลังในด้านสาธารณสุข โดยการกล่าวว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น ดังนั้นถือว่าเป็นเรื่องไร้สาระที่จะมาคบคิดกัน พระองค์ยังตรัสในอัล-กุรอานว่า    ดังนั้นการเยียวยาบำบัดขึ้นอยู่กับพระองค์แม้แต่ความตายก็ขึ้นอยู่กับพระองค์ไม่มีหนทางในการเยียวยาบำบัดรักษาและรอดพ้นจากความตายได้นอกเสียจากความพึงประสงค์จากพระองค์เท่านั้น
8. แพร่ขยายความล้าหลังในด้านการเกษตรโดยใช้มาตรการในข้อที่3-4ที่ได้อธิบายข้างต้นมาแล้ว
9. ทำการเผยแพร่เชิญชวนว่าศาสนาอิสลามคือศาสนาแห่งการทำอิบาดะฮ์ ซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์และกฎระเบียบ ดังนั้นจึงไม่มีคำว่า ศาสดามุฮัมหมัด ไม่มีคำว่า ตัวแทน ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีกฎระเบียบ ด้วยการกล่าวเช่นนี้เพื่อทำให้พวกเขาคงสภาพอยู่ในความวุ่นวาย ไม่มีระเบียบวินัย
10. ทำลายเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ของความปั่นป่วนและความวุ่นวายดังกล่าวข้างต้น  สามารถกระทำได้ด้วยการ  วางเพลิงแหล่งเพาะปลูก การทำให้เรือบรรทุกสินค้าต้องจมน้ำ การวางเพลิงย่านการค้าและตลาด การทำลายเขื่อนกักเก็บน้ำเพื่อให้แหล่งเพาะปลูกและบ้านเรือนเสียหายและวางยาพิษในน้ำที่ใช้บริโภค 
11.   หนุนและยั่วยุบรรดาข้าอมาตย์แห่งราชสำนัก พัวพันและมั่วสุมอยู่กับอบายมุข เหล้า การพนัน สุรา นารี  และใช้จ่ายทรัพย์สินในเรื่องส่วนตัวเพื่อที่จะมิให้มีงบประมาณหลงเหลือที่จะจัดซื้อหาอาวุธในการบริหารบ้านเมือง
12. ทำการเชิญชวนและเผยแพร่ว่า อิสลามได้เหยียดหยามและดูถูกสิทธิของสตรีซึ่งกล่าวว่า      บรรดาชายนั้น คือผู้มีอำนาจเหนือ (ผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองเลี้ยงดู)บรรดาหญิง                    
และในฮะดีษกล่าวว่า: บรรดาสตรีคือแหล่งที่มาของความชั่วร้าย
13. ความสกปรกก็เนื่องมาจากขาดแคลนน้ำดังนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดต้องพยายามอย่าให้พวกเขามีน้ำใช้ได้อย่างเพียงพอ
การทำลายจุดแข็ง
หนังสือเล่มนี้ยังได้บอกกล่าวถึงวิธีการทำลายล้างจุดแข็งต่างๆ ของมุสลิมมีดังนี้ 
1. ควรสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในหมู่มุสลิม ความแตกแยกระหว่างอาหรับกับไม่ใช่อาหรับ  การดูถูกเหยียดหยามเผ่าพันธุ์ระหว่างเปอร์เซีย ตุรกี อาหรับและอาญัม(ไม่ใช่อาหรับ  )ในฐานะที่เป็นมุสลิมควรได้รับคำสั่งให้ใส่ใจกับอารยธรรมในอดีตของประเทศของตนและวีรบุรุษก่อนอิสลาม   : เช่นการฟื้นฟูถึงความสำคัญของฟิรอูนในอียิปต์   การกราบไหว้บูชาในอิหร่าน ฟื้นฟูอารยธรรมบาบิโลนในอิรักและกรณีอื่นๆ ที่อธิบายไว้ในหนังสืออย่างละเอียด
2. ต้องแพร่ขยายและแพร่กระจาย สิ่งมึนเมา  เหล้าสุรา  การพนัน สิ่งอบายมุขและเนื้อสุกรให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นในบรรดาพี่น้องมุสลิม หากแพร่ขยายอย่างเปิดเผยได้ถือว่าเป็นการดีแต่หากไม่ได้ก็ใช้วิธีการแบบลับๆ
  ในหนังสือเล่มนี้ยังได้กล่าวอีกว่า การประสานความร่วมมือกับยะฮูดีย์ นัศรอนีย์และมะยูซีย์ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในประทศมุสลิมทั้งหลายด้วยกับความช่วยเหลือของพวกเขา ทำให้เราสามารถแทรกซึมวิธีการเหล่านี้ในหมู่พวกเขาได้เป็นอย่างดี
 อีกทั้งเราให้เงินค่าตอบแทนเป็นรายเดือนอย่างลับๆเพื่อให้พวกเขาปฏิบัติงานในการแพร่ขยายสถานที่บันเทิงในประเทศมุสลิมให้มากขึ้น โดยใช้งบจากกระทรวงล่าอาณานิคมและมีรางวัลจะมอบให้แก่ผู้ที่สามารถปฏิบัติการได้อย่างสำเร็จ
        ในหนังสือเล่มนี้ยังได้เน้นอีกว่า  ผู้ที่เกี่ยวข้องในสถานทูตของอังกฤษจำต้องให้ความช่วยเหลือทั้งแบบเปิดเผยและแบบลับๆ และให้เงินสนับสนุนเท่าที่สามารถจะให้ได้ และเมื่อผู้หนึ่งผู้ใดของผู้ปฏิบัติการของเราถูกมุสลิมจับได้ ต้องให้ความช่วยเหลือแก่เขาในทุกวิธีทางและทุกรูปแบบ
        ในหนังสือยังได้กล่าวเน้นด้วยว่า  ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดจำต้องแพร่ขยายระบบดอกเบี้ย(ริบา)  ให้เกิดขึ้นในบรรดามุสลิม การกระทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของเขาต้องล่มสลายแล้วยังจะทำให้บรรดามุสลิมเกิดความกล้า และอาจหาญขึ้นมาในการฝ่าฝืนคำสอนของอัล-กุรอาน เพราะเพียงครั้งเดียวของการฝ่าฝืนคำสอนของอัล-กุรอานนั้นจะนำมาซึ่งความง่ายดายในการฝ่าฝืนคำสั่งอื่นๆ ตามมา
        ในหนังสือยังกล่าวด้วยอีกว่า จำต้องทำให้มุสลิมเข้าใจว่าระบบดอกเบี้ย(ริบา)ที่เป็นสิ่งต้องห้าม(ฮะรอม)นั้น คือริบา มุฏออัฟ (ริบาสองเท่าตัว) เพราะอัล-กุรอานได้กล่าวว่า: 
 ดังนั้นไม่ใช่ว่าทุกรูปแบบของริบาเป็นสิ่งต้องห้ามแต่จะมีเพียงแต่บางรูปแบบเท่านั้นที่เป็นฮะราม
3-4. ประณามใส่ร้ายบรรดาอุลามาและมุสลิมโดยให้สายของเราปลอมตัวในชุดรูปแบบอุลามา ทำการเข่นฆ่าและกระทำการกดขี่ขึ้นมา  เพื่อให้บรรดามุสลิมเกิดความสงสัยคลางแคลงใจว่าพวกนั้นคืออุลามาหรือสายลับ? ให้มีการแต่งชุดอุลามาของอัซฮัร ตุรกี นะญัฟและกัรบาลาอฺ
        อีกแนวทางหนึ่งในการสร้างความอ่อนแอให้เกิดขึ้นระหว่างอุลามากับบรรดามุสลิมนั้นคือการสร้างโรงเรียนและทำการสอนเด็กๆ ให้มีอคติต่อบรรดาอุลามาและบอกเล่าสิ่งไม่ดีไม่งามของพวกเขา  ว่าพวกเขาเห็นแก่ความสุขสบายของตนเองเป็นหลักโดยนำเงินส่วนกลางมาใช่จ่ายเพื่อความสุขสบายและในทางอบายมุขของตนเอง  ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นตัวแทนของท่านศาสดาแต่ในความเป็นจริงนั้นหาได้คล้ายคลึงกับท่านศาสดาไม่
5.   สร้างความครางแคลนสงสัยในเรื่องการญิฮาดให้เกิดขึ้น   โดยอ้างว่าการญิฮาดเป็นเรื่องเฉพาะการแห่งยุคสมัยเท่านั้น ซึ่งยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้วดังนั้นกฎข้อนี้จึงไม่มีอีกต่อไป
6. ขจัดแนวความคิดของชาวชีอะฮ์ที่ว่าบรรดากุฟฟารคือนะญิสนั้นออกไป โดยที่โองการอัล-กุรอานกล่าวว่า  และอาหารของบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้น เป็นที่อนุมัติแก่พวกเจ้าแล้ว และอาหารของพวกเจ้าก็เป็นที่อนุมัติแก่พวกเขามาเป็นหลักฐาน   อีกทั้งท่านศาสดายังได้เอาหญิงชาวยะฮูดีย์ซึ่งมีนามว่าโซเฟียและหญิงชาวนัศรอนีย์ชื่อว่ามารียะฮ์มาเป็นภรรยา  ดังนั้นไม่อาจกล่าวได้ว่าภรรยาของท่านศาสดาเป็นนะญิส
......................โปรดติตามตอนต่อไป
สถาบันศึกษาศาสนา อัล-มะฮฺดียะห์