บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่35
  • ชื่อ: บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่35
  • นักเขียน:
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 21:31:11 1-9-1403

บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่35

สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม
เมืองกัรบะลานี้ ถือว่าเป็นอีกเมืองหนึ่งของชีอะฮ์ ที่มีบรรดาอุลามาและสถาบันศึกษาศาสนา ซึ่งเมืองนี้กับเมืองนะญัฟ ต่างก็จะให้ความร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 ทันใดที่ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งจากลอนดอน ก็ได้เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองกัรบะลา และนะญัฟ โดยใช้เส้นทางเมือง บัศเราะฮ์ สู่เมืองแบกแดด
 “แบกแดดเป็นศูนย์กลางการปกครองของคอลีฟะฮ์อุษมานียะฮ์” จากแบกแดดก็เข้าสู่เมือง ฮิลละห์ ซึ่งเป็นเมืองที่ติดกับแม่น้ำฟูรอต
แม่น้ำฟูรอต และแม่น้ำดิจละห์ คือแม่น้ำ 2 สาย ที่สำคัญยิ่งซึ่งทั้งสองแม่น้ำนี้ มีต้นทางจากตุรกี และไหลผ่านใจกลางเมืองอิรัก และไหลลงสู่ท้องทะเลซึ่งผลิตผลทางการเกษตรของชาวอิรัก ความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกของชาวอิรัก จะขึ้นอยู่กับแม่น้ำทั้งสองสายนี้
 หลังจากที่ข้าพเจ้าถูกเรียกตัวกลับยังกรุงลอนดอนนั้น ข้าพเจ้าเคยเสนอแก่ทางกระทรวงล่าอาณานิคม ว่า ให้วางแผนกำหนดยุทธศาสตร์ในการสกัดกั้นแม่น้ำทั้งสองสายนี้ เพื่อที่จะให้อิรักนั้นตกอยู่ในสภาวะคับขันและจะต้องยอมจำนนเพราะหากว่าเมื่อใดที่สายน้ำแห่งนี้ไปไม่ถึงมือชาวอิรักแล้ว จะทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากที่จะต้องยอมจำนนต่อเรา (กระทรวงอาณานิคม)

จากนั้นข้าพเจ้าได้เดินทางออกจากเมือง ฮิลละห์เพื่อเข้าสู่เมืองนะญัฟ โดยที่ได้ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจ/พ่อค้า ชาวอาเซอร์ไบจาน และก็ได้เพื่อนที่เป็นนักการศาสนาคนหนึ่ง ทำให้ข้าพเจ้ามีการไปมาหาเขาบ่อยครั้งและยังเคยเข้าร่วมฟังบทเรียนของเขาด้วย จากความรู้ ความยำเกรง และความบริสุทธิ์ใจของเขาทำให้ข้าพเจ้าต้องตกตะลึง
 แต่ก็ยังเห็นว่าพวกเขายังตกอยู่ในสภาพที่เดิมๆ ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้นว่าวันเวลาจะผ่านมากี่ศตวรรษก็ตาม เห็นได้จากสิ่งต่างๆเหล่านี้ -:
1.บรรดาอุลามาเมืองนะญัฟจะเป็นปฏิปักษ์ ต่อต้านการปกครองของราชวงศ์อุษมานียะฮ์ในตุรกี การปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์อุษมานียะฮ์นั้นมิใช่ด้วยสาเหตุที่ว่า พวกเขาเป็นชาวซุนนีแต่ด้วยสาเหตุที่ได้สกัดกั้นความเป็นเสรีภาพของพวกเขา แต่จะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มิเคยมีความคิดที่จะลุกขึ้นสู้และต่อต้านราชวงศ์อุษมานียะฮ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพ
2.บรรดาอุลามาชีอะฮ์ “เหมือนกับบาทหลวงของเราในยุคสมัยหนึ่ง” ที่ ทุ่มเทเวลาและสาละวนอยู่กับเฉพาะเรื่องศาสนา จะทอดทิ้งศาสตร์ความรู้ทางโลก “วัตถุ” จะมีก็เพียงน้อยนิดที่ยังประโยชน์ต่อตัวเขา และจะไม่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องทางโลกวัตถุ
3.บรรดาอุลามาชีอะฮ์ จะไม่ครุ่นคิดและละเลยไม่สนใจต่อสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าได้พูดกับตัวเองว่าเป็นเรื่องน่าเวทนาเสียเหลือเกินที่พวกเขาอยู่ในสภาพที่หลับใหล ในขณะที่สถานการณ์โลกกำลังตื่นตัว และสิ่งนี้เองที่จะทำให้ พวกเขาต้องล่มสลายในอีกไม่ช้า 
 หลายครั้งหลายคราที่ข้าพเจ้าพยายามที่จะโน้มน้าวพวกเขาให้ลุกขึ้นสู้กับราชวงศ์อุษมานียะฮ์ แต่ว่าหาได้พบสักคนไม่ที่จะน้อมรับ มิหนำซ้ำมีพวกเขาบางคนกลับเยาะเย้ยและล้อเลียนข้าพเจ้า และพวกเขายังพูดอีกว่า ข้าพเจ้าเป็นตัวการที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายในโลก ซึ่งพวกเขามีมุมมองและโลกทัศน์ต่อระบบการปกครอง “คิลาฟัต” ว่า เราไม่มีอำนาจพอที่จะโค่นล้ม รัฐบาลอุษมานียะฮ์ได้ นอกเหนือจาก ด้วยการปรากฏของ วะลีอัมร์
 วะลีอัมร์ ในทัศนะของพวกเขา คือ อิมามคนที่สิบสอง ที่สืบเชื้อสายมาจาก ศาสดามุฮัมหมัด ซึ่งถือกำเนิดในปีที่ 255 (ฮิจเราะห์) และมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ จะมีวันหนึ่งซึ่งบุรุษผู้นี้ จะปรากฏกายขึ้นมาและจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความยุติธรรม หลังจากที่มันเต็มไปด้วยความอยุติธรรม  สิ่งนี้มันสร้างความประหลาดใจและฉงนใจต่อข้าพเจ้าอย่างมากที่ว่า มันเป็นไปได้อย่างไรเล่า ที่อุลามา ผู้ทรงรอบรู้ และประชาชนผู้มีเกียรติ มีหลักความเชื่อที่งมงาย ลักษณะเช่นนี้? ! หลักความเชื่อเช่นนี้เหมือนหลักความเชื่อที่งมงายของบางกลุ่ม ชาวคริสเตียนซึ่งเชื่อว่า พระเยซูจะทรงลงมาจากฟากฟ้า และจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรม
……………โปรดติดตามตอนต่อไป
สถาบันศึกษาศาสนา อัล-มะฮฺดียะห์