บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่28
  • ชื่อ: บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่28
  • นักเขียน:
  • แหล่งที่มา:
  • วันที่วางจำหน่าย: 21:19:19 13-9-1403

บันทึกของ มร.แฮมเฟอร์ สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม (ออตโตมาน)ตอนที่28

 

สายลับอังกฤษในดินแดนอิสลาม
จากนั้นข้าพเจ้าได้ทำการตกลงกับมุฮัมหมัดในการถกอภิปรายและเรียนรู้วิชาตัฟซีรอัล-กุรอาน โดยอาศัยความคิดของข้าพเจ้าเป็นบรรทัดฐานในการตัฟซีร(การตีความ) และจะไม่มีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทัศนะคติของแต่ละนิกาย และบรรดานักวิชาการทั้งหลายของอิสลามทั้งสิ้น เราทั้งสองได้ทำการเรียนรู้อัล-กุรอานด้วยกัน และได้มีการตัฟซีรโองการบางส่วนด้วย ซึ่งรูปแบบและวิธีการเหล่านี้ ก็เพื่อที่จะให้มุฮัมหมัดนั้นเพลี่ยงพล้ำและเป็นการปูทางให้ข้าพเจ้าสามารถดำเนินแผนการได้อย่างราบรื่น ส่วนมุฮัมหมัดเองนั้นเพื่อที่จะแสดงตนให้เห็นว่าเป็นคนที่มีความคิดเสรี ก็จะน้อมรับทุกทัศนะคติของข้าพเจ้าที่นำเสนอเขาไปทุกๆ ครั้ง
มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าได้บอกเขาว่า การญิฮาดไม่ใช่เป็นสิ่งวาญิบ
เขาพูดว่า: ในเมื่อพระองค์ได้ตรัสในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า จงต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธและผู้กลับกลอก ดังนั้นการญิฮาดจะถือว่าไม่เป็นสิ่งวาญิบได้อย่างไร?
ข้าพเจ้าตอบว่า: พระองค์ได้ตรัสว่า จงทำการต่อสู้กับบรรดาผู้ปฏิเสธและผู้กลับกลอกซึ่งหากว่า การญิฮาดเป็นสิ่งวาญิบแล้ว เหตุใดท่านศาสดามิได้มีการต่อสู้และญิฮาด กับบรรดาผู้กลับกลอกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เขาพูดว่า: แต่ท่านศาสดาก็ได้ทำการ ญิฮาดกับผู้กลับกลอกด้วยวาจา
ข้าพเจ้าถามว่า: ถ้าเป็นเช่นนั้น การต่อสู้ และการญิฮาดกับบรรดาผู้ปฏิเสธด้วยวาจาก็เป็นสิ่งที่วาญิบเช่นกัน
เขาพูดว่า: แต่เราประจักษ์ว่า ท่านศาสดาได้ทำการสู้รบและญิฮาดด้วยกองกำลังทหารกับบรรดาผู้ปฏิเสธมิใช่ด้วยเพียงวาจา
ข้าพเจ้าพูดว่า: แต่การสู้รบของท่านศาสดานั้น มันเป็นเพียงการปกป้องตัวเองจากภัยอันตรายเท่านั้น ก็เพราะว่า บรรดาผู้ปฏิเสธต้องการเข่นฆ่า สังหารท่านศาสดา ดังนั้นศาสดาก็จำเป็นต้องปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกเข่นฆ่า
จากการสนทนาประเด็นดังกล่าวนั้นมุฮัมหมัดได้ผงกหัวซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงการยอมรับทัศนะดังกล่าว
เช่นกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้บอกเขาว่า: การสมรสแบบมุตอะฮ์ (สมรสชั่วคราว) เป็นหลักการที่อนุมัติให้ปฏิบัติได้
เขาพูดว่า:ไม่เป็นสิ่งที่อนุมัติให้ปฏิบัติ
ข้าพเจ้าพูดว่า: พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์อัล-กุรอานว่า หญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขกับนางจากบรรดาหญิงเหล่านั้นก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสิ่งตอบแทนแก่พวกนางตามที่มีกำหนดไว้ (ซูเราะฮ์อันนิซา  โองการ  24) 
เขาพูดว่า:แต่ อุมัรได้สั่งห้ามและยกเลิกมุตอะฮ์ไปแล้ว ซึ่งได้มีถ้อยคำกล่าวซ้ำอยู่บ่อยๆ และรู้กันดีว่า อุมัรพูดว่า มีสองสิ่งซึ่งเป็นที่อนุมัติในสมัยของท่านศาสดา ซึ่งในสองสิ่งนั้นฉันได้ห้ามในวันนี้และฉันจะลงโทษผู้ที่ปฏิบัติในสองสิ่งนี้ คือ มุตอะฮ์หญิงและมุตอะฮ์ฮัจญ์
ข้าพเจ้าพูดว่า: คุณได้พูดมิใช่หรือที่ว่าคุณมีความรู้ที่เหนือกว่าอุมัร แล้วเหตุใดในประเด็นนี้คุณต้องเชื่อฟังตามทัศนะของอุมัรด้วย ? และนอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ในเมื่อ อุมัรพูดว่า ฉันได้สั่งห้ามในเรื่องดังกล่าวโดยที่ท่านศาสดาได้มีการอนุมัติ ดังนั้นคุณมีเหตุผลอันใด ที่มิได้ยึดเอาอัล-กุรอาน และท่านศาสดา แต่กลับมายอมรับทัศนะของอุมัร
 เขาได้นิ่งเงียบซึ่งข้าพเจ้าก็ได้มองเห็นแล้วว่า การนิ่งเงียบของเขานั้นบ่งบอกถึงการยอมจำนน อีกทั้งเขายังได้รับผลกระทบด้านอารมณ์ความใคร่เพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็ในเมื่อเขายังไม่ได้แต่งงานอีก
 ดังนั้นข้าพเจ้าได้พูดกับเขาว่า หากเราจะมีความอิสรเสรีในการแต่งงานแบบชั่วคราว(มุตอะฮ์) กับหญิงสาวนางหนึ่งนั้น มันคงจะไม่เป็นสิ่งผิดแปลกอะไรมิใช่หรือ
 ซึ่งเขาเองก็ได้พยักหน้าบ่งบอกถึงความพึงพอใจ และแล้วข้าพเจ้าก็ถือโอกาสอันนี้ในการนัดหมายกับเขาว่าจะจัดหาหญิงสาวนางหนึ่งให้เขาทำการมุตอะฮ์
 วัตถุประสงค์ของข้าพเจ้าในครั้งนี้ ก็เพื่อให้เขาหายจากความหวาดกลัวและกล้าเผชิญกับผู้คนในสังคม เขายังได้ขอร้องข้าพเจ้าด้วยเงื่อนไขว่า ขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น
 จากนั้นข้าพเจ้าได้ไปหาหญิงสาวชาวคริสเตียนทันที ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ผ่านการอบรมหลักสูตรเฉพาะการของกระทรวงล่าอาณานิคนมาแล้ว และข้าพเจ้าได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเขาฟังและก็ได้ตัวหญิงสาวคนหนึ่งมา ซึ่งข้าพเจ้าได้ตั้งชื่อเขาว่า ซอฟียะฮ์
 ตามวันเวลาที่ได้นัดหมายกับมุฮัมหมัดไว้นั้น ข้าพเจ้าได้นำเขามายังบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีเพียงแค่หญิงสาวคนเดียวที่อาศัยอยู่ในบ้าน จากนั้นข้าพเจ้าได้ทำการนิกะฮ์แบบชั่วคราว(มุตอะฮ์) ให้กับเขา ด้วยกับเงื่อนไขระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ และมีสินสอดทองหมั้นส่วนหนึ่ง
 ทั้งข้าพเจ้าและซอฟียะฮ์ได้ทำการ ยุยงเขาจากทั้งสองด้านเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่วางไว้ซึ่งด้านภายนอกก็จะมีข้าพเจ้าคอยกุมบังเหียนอยู่และภายในก็จะมีซอฟียะฮ์
ซอฟียะฮ์สามารถมีอิทธิผลและควบคุมสติปัญญา ความเฉลียวฉลาดของมุฮัมหมัดได้อย่างเบ็ดเสร็จ มุฮัมหมัดก็ได้สัมผัสอรรถรสแห่งการฝ่าฝืนคำสั่งของชารีอะฮ์ (บทบัญญัติ) อีกทั้งได้สัมผัสถึงรสชาติแห่งเสรีภาพในเชิงความคิดที่ไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง จึงทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเข้าสู่แผนการใหม่ทันที
..........โปรดติดตามตอนต่อไป